เฉินวั่งซูสีหน้าสงบราบเรียบ ยกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมารินให้เกามู่เฉิงถ้วยหนึ่ง “พูดมาถึงเพียงนี้คงกระหายน้ำแล้วกระมัง ชาจวินซานอิ๋นเจินของร้านนี้ไม่เลวเลย ท่านลองชิมดู”
เกามู่เฉิงเดือดดาลขึ้นมาในทันใด เฉินวั่งซูผู้นี้ช่างมิต่างจากหนังวัวบนโต๊ะทำครัวที่น้ำมันสาดไม่เข้า
ชกนางก็เหมือนชกปุยฝ้าย ไม่มีความโศกเศร้าแค้นเคืองใดๆ ที่ตนอยากเห็น สตรีนางนี้ยังคงวิจิตรงดงามปานรูปปั้นพระโพธิสัตว์ในวัดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี
“ท่านรู้อยู่แล้ว? ท่านรู้ว่าเมื่อวานพี่เยี่ยเฉินกับหลิ่วอิงผู้นั้น…เมื่อวาน…ดอกท้อ…เมื่อวานท่านบังเอิญไปเห็นแล้ว?”
เฉินวั่งซูเลิกคิ้ว คล้ายว่าคราวนี้ถึงรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย นางหยิบขนมแกล้มน้ำชาชิ้นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาอย่างแช่มช้าและส่งเข้าปากคำเล็กๆ กินเสร็จแล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปาก
จากนั้นถึงกล่าวขึ้นในชั่วพริบตาก่อนเกามู่เฉิงจะบันดาลโทสะ “ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงหมาแมวตัวหนึ่ง หากองค์ชายโปรด รับเข้าจวนจะเป็นไรไป ภรรยาพึงมีคุณธรรม ยึดถือสามีเป็นดั่งฟ้า”
นางพูดพลางกวาดตามองเกามู่เฉิงด้วยอาการติดจะคร้ามเกรง ก่อนจะดึงสายตากลับมาประหนึ่งว่า ‘ร้อนตัว’ “แน่นอนว่าถ้าไม่มีย่อมจะดีกว่า จะอย่างไรเรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องมีเกียรติ แต่หากเอะอะจนกลายเป็นเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็จำต้อง…ถึงอย่างไรหลิ่วอิงผู้นั้นก็เป็นแค่บุตรสาวของขุนนางเล็กๆ ไม่ใช่นางก็ยังมีผู้อื่นอยู่ดี”
เฉินวั่งซูพูดพลางถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างนึกยินดีอยู่บ้าง “ข้ากลับดีใจที่ผู้ที่ยืนอยู่ในป่านั้นมิใช่คุณหนูเกา มิเช่นนั้น…แน่นอนว่ามีก็เพียงคนไร้เกียรติเช่นนั้นถึงจะใช้วิธีการไร้เกียรติพรรค์นั้นเพื่อเข้าจวน ที่น่าขันคือแม้ลูกไม้จะเก่า แต่ล้วนสำเร็จตามแผนพวกนางทุกครั้งไป
เฮ้อ…ผู้ใดใช้ให้พวกเราต้องรักษาศักดิ์ศรีกันเล่า รังแต่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยที่น้ำท่วมปาก…คุณหนูเกามีเมตตา อุตส่าห์ช่วยมาเตือนข้า วั่งซูซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้โดยแท้”
เกามู่เฉิงได้สติกลับมาก็กระทืบเท้าแล้วพูดอึกๆ อักๆ ว่า “ใครมาเตือนท่านกัน อย่ายกยอตนเองไปหน่อยเลย ไม่หัดดูเสียบ้างว่าตนเองน่าขันเพียงไร ข้าจะบอกท่านให้ ถึงท่านจะได้ตัวพี่เยี่ยเฉินไปก็ไม่มีทางได้ใจของเขาหรอก”
นางพูดพลางหมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับเหวี่ยงประตูปิดอย่างแรง
เฉินวั่งซูเหลือบมองประตูปราดหนึ่ง หยิบหมวกม่านแพรที่ด้านข้างขึ้นมาสวมบนศีรษะเฉินเถียน ก่อนปรายหางตามองประตูอีกรอบ เห็นเงาคนที่อยู่ตรงนั้นก่อนหน้านี้หายไปแล้วถึงได้ยกมุมปากขึ้นช้าๆ
ทางด้านเฉินเถียนในเวลานี้แววตาสั่นระริกและตัวแข็งทื่อเหมือนรูปสลักหินไปนานแล้ว
“ไปกันเถอะน้องหญิงสาม วันนี้มีผ้าดีๆ ออกใหม่ ท่านแม่กำลังเตรียมสินเดิมให้ข้าอยู่ บอกให้ข้าไปเลือกผืนที่ชอบมา ในจวนหากกล่าวถึงเรื่องเย็บปักตัดเสื้อมิมีใครเทียบเจ้าได้ เจ้าไปช่วยดูให้ข้าได้หรือไม่”
เฉินเถียนได้สติกลับมาก็เบ้าตาแดง “ไฉนพี่หญิงรองยังมีแก่ใจไปดูสินเดิมอยู่อีก…องค์ชายเจ็ดเขา…เขา…รังแกคนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
เฉินวั่งซูตบหลังมือนางเบาๆ โดยมิเอ่ยคำใด แต่ในใจกลับยินดีปรีดา ในสมองร้องโหวกเหวกไม่หยุด ‘ระบบๆ เห็นความร้ายกาจของพี่สาวคนนี้หรือยัง ตกปลาทีเดียวได้มาตั้งสองตัว ตอนนี้แค่รอให้ถึงงานเลี้ยงวสันต์อะไรนั่นแล้ว คุณบอกว่าอะไรนะ หลิ่วอิงใช้แผนการพิสูจน์ตัวตนในป่าท้อ องค์ชายเจ็ดผลาญเงินต้อนรับพระสหายวัยเยาว์ในงานเลี้ยงวสันต์? จิ๊ๆ…เนื้อเรื่องไม่เปลี่ยนแม้แต่ตัวอักษรเดียว แต่ตอนจบจะเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม คุณเชื่อไหม’
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.