บทที่ 9
ระบบเงียบไปเป็นนานถึงค่อยถามขึ้นว่า ‘คุณรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้จะมีปลามา แล้วรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะทำตามที่คุณต้องการ’
โฮสต์คนนี้ของมันไม่ใช่ราชินีจอเงิน แต่เป็นร่างทรงเก๊มากกว่า!
ชาติก่อนก็ไม่เคยเห็นนางนับนิ้วจับยามสามตา* แล้วได้โชคหล่นทับ อีกทั้งยิ่งไม่ได้มีอภินิหารขนาดไปถ่ายหนังที่ใด ที่นั่นก็มีฝนตกด้วยเสียหน่อย
เฉินวั่งซูยิ้มอย่างได้ใจ ‘โอกาสหน้าที่จะได้เจอหลิ่วอิงคือที่งานเลี้ยงวสันต์ ถ้าฝ่ายนั้นอยากเจอฉันก็ต้องเป็นที่นั่น ถ้าฉันอยากเอาตัวออกมาให้พ้นก็จำเป็นต้องวางแผนล่วงหน้า ฝ่ายนั้นต้องการเดินทางสว่างก็จำเป็นต้องหยั่งเชิงความตื้นลึกของฉันแต่เนิ่นๆ จะได้ออกกระบวนท่าถูก
งานเลี้ยงวสันต์จะจัดในอีกสองวัน ฉันอุตส่าห์ได้ออกจากบ้านทั้งที ไม่มาเวลานี้จะมาเวลาไหน คุณหนูอย่างฉันแสนจะสูงส่ง ฝ่ายนั้นอาจเอื้อมไม่ถึง นี่ก็ไม่ใช่ทำให้องค์ชายเจ็ดหน้าเป็นตุ่มระคายสายตาคนแล้วหรือไง ทีนี้ก็ได้แต่ฟังคนแอบซุบซิบนินทาแล้ว
เอาใจเขามาใส่ใจเรา หลิ่วอิงคนนั้นเป็นถึงนางเอกนิยายเรื่องตำนานหลิ่วอิง จะต้องเป็นคนฉลาดที่แพ้ฉันอยู่แค่นิดเดียวอย่างแน่นอน’
ระบบหัวเราะเหอะๆ คำพูดประโยคสุดท้ายนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดจริงๆ
‘ส่วนเกามู่เฉิง ฉันก็แค่เมตตาให้คำชี้แนะแก่สาวน้อยหลงทางคนหนึ่งเท่านั้นเอง! ถ้านางสมหวังก็ควรหล่อรูปทองเคารพให้ฉันแล้วกราบไหว้ทุกวันถึงจะนับว่าจริงใจ…นี่ ระบบ ระบบ…ทำไมคุณไม่พูดอะไรแล้วล่ะ’
เฉินวั่งซูส่ายศีรษะ ระบบนี่แย่จริงๆ ไม่ใช่สัญญาณหลุดก็ระบบค้าง
เฉินวั่งซูดึงตัวเฉินเถียนที่กำลังมึนงงให้ลุกขึ้นเดินออกจากห้องส่วนตัวอย่างสุขุมเยือกเย็น สุดท้ายยังมองโต้วอี้อวิ๋นที่อยู่ในห้องตรงข้ามแวบหนึ่ง เห็นเขาหันหลังให้ประตู ชมงานกวีด้วยท่าทางเรียบร้อยเคร่งขรึมพร้อมด้วยหูแดงระเรื่อ
พอนางจากไปแล้วประตูห้องส่วนตัวที่อยู่ติดกันก็พลันถูกเปิดออก
ชายหนุ่มในชุดแพรตัวยาวสีแดงเพลิงเดินออกมา บนระเบียงมีลม พัดปอยผมที่เปียกชื้นและแถบรัดผมสีแดงของเขาให้ปลิวขึ้น
ผู้นี้มิใช่เหยียนเจวี๋ยแล้วจะเป็นผู้ใด
เหยียนเจวี๋ยมองชายกระโปรงของเฉินวั่งซูตรงมุมทางเลี้ยวพลางลูบริมฝีปาก “ไปกันเถอะ พวกบัณฑิตส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจหนวกหูไม่ต่างจากเป็ดในบ่อ ทำข้าปวดหัว”
จินฉานผู้เป็นบ่าวชายได้ยินก็รีบถามว่า “ผมของท่านยังไม่แห้งเลย ออกไปตากลมจะดีหรือขอรับ”
เหยียนเจวี๋ยแค่นเสียงทีหนึ่งอย่างไม่แยแสสนใจ กระชากดอกไม้ในกระถางบนระเบียงออกมากิ่งหนึ่งแล้วเหวี่ยงไปมาในมือ ก่อนสาวเท้ายาวเดินลงชั้นล่างตามคนที่เพิ่งจะออกไปจากห้องข้างๆ อย่างว่องไว
“พี่หญิงรอง พวกเราเรียกคนจากร้านผ้าให้นำผ้ามาส่งให้เลือกวันอื่นจะดีกว่า วันนี้กลับจวนกันก่อน เกรงว่าท่านย่าคงรอจนร้อนใจแล้ว” เฉินเถียนขึ้นรถม้าพลางพูดอย่างระมัดระวัง
เฉินวั่งซูยิ้มพร้อมพยักหน้า เลื่อนสายตากลับไปมองก็เห็นเหยียนเจวี๋ยเอนตัวกึ่งพิงประตูร้านน้ำชามองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เส้นผมและขนตาล้วนยังชื้นละอองน้ำ ประหนึ่งว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จอย่างไรอย่างนั้น
อยู่ไกลปานนี้เฉินวั่งซูยังรู้สึกว่าตนเองได้กลิ่นหอมของน้ำดอกไม้ ช่างงามล้ำเลิศที่สุดในปฐพีจริงๆ
หากมิใช่ยังไม่ถึงเวลาเฉินวั่งซูก็อยากจะเอื้อมมือปลาหมึกไปคว้าตัวคนผู้นี้มา…แค่กๆ นางแค่คิดก็อดจะถ่มน้ำลายใส่ตนเองไม่ได้แล้ว แม้แต่เดรัจฉานยังมีความคิดสู้นางไม่ได้จริงๆ!
ในหัวเฉินวั่งซูนั้นแสดงท่าทีคุกคามไปถึงไหนต่อไหน ทว่ากลับไม่แสดงออกมาทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย ทำประหนึ่งว่ามองไม่เห็นเหยียนเจวี๋ย นางช่วยดันตัวเฉินเถียนเล็กน้อย “ก็ได้ มีเวลาอีกมาก ยังไม่ต้องรีบร้อน”
เฉินวั่งซูพูดพลางแสร้งทำเป็นเยือกเย็น ขึ้นรถม้าโดยมีมู่จิ่นประคอง
รถม้าเพิ่งจะออกตัวได้ไม่กี่ก้าวท่าทางอ่อนหวานนุ่มนวลของเฉินวั่งซูก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางไม่ได้อยากจะว่าหรอกนะ แต่รถม้านี้สะเทือนแรงเกินไปแล้วจริงๆ หากนั่งมันอ้อมเมืองหลินอันนางก็ห่วงยิ่งว่าตนเองคงจะได้สมองกระทบกระเทือนเป็นแน่
มิน่าสตรีชั้นสูงถึงมีไม่กี่คนที่อวบอิ่ม โคลงเคลงทุกวันเนื้อจะยังเก็บไว้ตรงที่ใดได้
เมื่อวานนางเพิ่งทะลุเข้ามาในนิยายเรื่องนี้ ในหัวมีเรื่องให้คิดเยอะ ยังไม่ทันได้ใส่ใจ บัดนี้ผ่อนคลายลงบ้างแล้วก็ถึงกับรู้สึกผิดที่ผิดทางไปหมดทุกอย่าง
กว่าจะได้ลงจากรถม้าเฉินวั่งซูต้องสะกดกลั้นความอยากสะบัดแขนสะบัดขาเอาไว้ แล้วเดินไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเป็นเพื่อนเฉินเถียน
ครั้นเข้ามาในเรือนก็รู้สึกว่าสายตาร้อนแรงกลุ่มหนึ่งพุ่งมาหา
เฉินวั่งซูอดไม่ได้ที่จะถอยหลังก้าวหนึ่งไปยืนอยู่หลังเฉินเถียน เป็นไปตามคาด นับแต่โบราณจวบจนปัจจุบันไม่มีใครไม่ชอบซุบซิบนินทา
พวกนางยังไม่ทันกล่าวสิ่งใด ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินก็กวักมือเรียกแล้ว “เร็วเข้า เถียนเอ๋อร์เจ้ารีบเล่ามา โต้วอี้อวิ๋นผู้นั้นใช้ได้หรือไม่”
เฉินเถียนเหมือนเป็นก้อนแป้งที่ตกลงในตลับชาดมิมีผิด ผิวพรรณนางแดงไปทั้งตัวแล้ว กระอักกระอ่วนจนนิ้วเท้าแทบจะจิกพื้นเป็นรู “ก็…ก็…ก็พอ…พอใช้ได้เจ้าค่ะ…”
คนในห้องได้ยินต่างก็หัวเราะร่าขึ้นมาอย่างเข้าอกเข้าใจ
เฉินวั่งซูกระตุกมุมปาก ก่อนหาที่นั่งลงตรงปลายสุดอย่างเงียบเชียบประหนึ่งล่องหน