บทที่ 3 เชื้อพระวงศ์
ผู้มาเยือนไม่ได้สวมชุดหรูฉวิน แต่สวมชุดชาวหู ที่มักถูกมองว่าป่าเถื่อนและหยาบคาย ชุดชาวหูของอีกฝ่ายเป็นสีขาวสะอาดหมดจด แขนแคบสาบเสื้อทับกัน สวมแถบรัดเอวหนังสีแดงรอบเอว บนแถบรัดเอวประดับด้วยจี้โลหะห้อยยาวลงมาเหนือเข่า ที่จริงแล้วไหล่ของคนผู้นี้กว้างเกินไปหน่อยสำหรับสตรี แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเอวเพรียวบาง ท่อนขาดูเรียวยาวเมื่ออยู่ภายใต้กางเกงขายาวของชาวหู โดยรวมแล้วเป็นความงดงามที่เหมาะสมแล้ว คล้ายว่าทุกอย่างควรจะเป็นเช่นนี้
ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือใบหน้าของคนผู้นี้ เรียกได้ว่าธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นมาด้วยความรัก เป็นผลงานชิ้นเอกของสวรรค์ ในฐานะที่เป็นสตรีกลับมีจมูกที่ทั้งสูงและโด่ง เป็นสันตรงงามประณีต ดวงตางดงามเฉิดฉาย กรอบหน้าคมชัดทุกมุม ริมฝีปากบางและเนียน แผ่ความเย้ายวนออกมารุนแรง ผู้ที่สบตาเป็นต้องใจเต้นเร็วอย่างไร้สาเหตุ เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตที่มีสีสันสดใสในธรรมชาติ งดงามแต่ก็แฝงไว้ด้วยอันตราย
อวี๋ชิงจยาจ้องมองอีกฝ่ายจนลืมไปชั่วขณะว่าควรตอบรับอย่างไร อีกฝ่ายก็จ้องนางกลับมาเช่นกัน ริมฝีปากบางเปิดออกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า “คุณหนูอวี๋มีคำสั่ง มิกล้าฝ่าฝืน”
อวี๋ชิงจยาดึงสติของตนเองกลับมาอย่างยากลำบาก นางหันกลับไปมองอวี๋เหวินจวิ้นแล้วกล่าวอย่างติดๆ ขัดๆ “นาง…นางก็คือคนที่ท่านพ่อพากลับมาหรือ”
ชั่วขณะนี้อวี๋ชิงจยาไม่รู้ว่าควรเรียกคนผู้นี้อย่างไรดี พอเห็นตัวจริงแล้วจะเรียกเป็น ‘อนุภรรยา’ ก็ไม่กล้า แต่จะให้เรียกว่า ‘แม่เล็ก’ นางก็เรียกไม่ลง
ในขณะที่อวี๋ชิงจยาสับสน อวี๋เหวินจวิ้นก็ประสบปัญหาเช่นกัน
เขาไม่ได้คิดจริงๆ ว่าในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเอ่ยถึงบรรดาศักดิ์อ๋อง นามแฝง หรือชื่อเล่นของมู่หรงเหยียน ควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าอะไร ปกติพวกเขาเรียกมู่หรงเหยียนอย่างเคารพว่า ‘คุณชาย’ ขุนนางที่ใกล้ชิดสนิทสนมไม่กี่คนถึงจะสามารถเรียกว่า ‘หลางจวิน’ ได้โดยไม่ต้องคิดที่จะเรียกชื่อจริง มู่หรงเหยียนไม่จำเป็นต้องมีคำเรียกอื่น เพราะไม่มีทางได้ใช้
บรรยากาศกระอักกระอ่วนครู่หนึ่ง มู่หรงเหยียนสีหน้าไม่เปลี่ยน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เรียกข้าว่า ‘จิ่งหวน’ ก็แล้วกัน”
“หืม” อวี๋ชิงจยารู้สึกว่าชื่อนี้แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก “เจ้าแซ่จิ่งหรือ”
“อืม”
แซ่นี้ไม่นับว่าพบเห็นบ่อยในราชวงศ์เหนือ อวี๋ชิงจยาท่องในใจเงียบๆ สองรอบ มักรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกๆ อยู่เสมอ นางพึมพำกับตนเองหนึ่งประโยค “ฟังดูคล้ายบุรุษไปสักหน่อย”
อวี๋เหวินจวิ้นเหลือบตามองมู่หรงเหยียนอย่างรวดเร็ว ตอนเกิดเหตุการณ์ตำหนักบูรพามู่หรงเหยียนเพิ่งจะอายุสิบสามปี แม้จะได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์อ๋องมานานแล้ว แต่ยังไม่มีนามรอง ‘จิ่งหวน’ เป็นชื่อที่ประกอบด้วยธาตุไม้ ซึ่งสอดคล้องกับเชื้อพระวงศ์รุ่นเดียวกันกับพวกเขา เป็นไปได้มากว่านี่คือนามรองที่มู่หรงเหยียนตั้งให้ตนเอง ตอนนี้ถูกอีกฝ่ายนำมาใช้เป็นชื่อเพื่อหลอกบุตรสาวเขาก็นับว่าพอถูไถไปได้
อวี๋เหวินจวิ้นพาอนุภรรยากลับมาแต่กลับไม่รู้ชื่อ นี่เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างเห็นได้ชัด การที่อวี๋ชิงจยาไม่สงสัยนั้นดียิ่งนัก แต่เมื่อเห็นบุตรสาวถูกหลอกอย่างง่ายดาย ทำให้อวี๋เหวินจวิ้นเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมา
อวี๋เหวินจวิ้นไม่อยากติดอยู่กับเรื่องชื่อนี้นานนัก จึงรีบเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ “ในเมื่อคนก็มากันพร้อมหน้าแล้ว เช่นนั้นก็สั่งให้ห้องครัวจัดเตรียมอาหารดีกว่า จิ่งหวนเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว หลังกินข้าวเสร็จจะได้กลับไปพักผ่อนที่ห้อง”
อวี๋ชิงจยาเรียกเบาๆ “ท่านพ่อ”
“มีอะไรหรือ”
ทันใดนั้นภายในหัวของอวี๋ชิงจยาก็เต็มไปด้วยคำพูดจำพวก ‘ตัณหาทำให้คนเบาปัญญา มีมารดาใหม่ก็เหมือนมีบิดาใหม่’ และอื่นๆ ลอยเข้ามา นางส่ายหน้าให้อวี๋เหวินจวิ้น ก่อนจะฉวยโอกาสตอนที่บิดากำชับบ่าวรับใช้ หันกลับไปถลึงตาใส่มู่หรงเหยียนด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง
นางคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้ที่มาจะเป็นปีศาจจิ้งจอกที่งดงามเกินมนุษย์มนาทั่วไป