อวี๋ชิงจยาฟังจบก็ขนลุกชัน นางอดกอดแขนที่สั่นเทาไม่ได้ ก่อนจะพึมพำโดยไม่ได้ตั้งใจ “กี่คนๆ ก็นิสัยเช่นนี้กันหมด สายเลือดของพวกเขามีปัญหาใช่หรือไม่”
แน่นอนว่าอวี๋เหวินจวิ้นพูดเรื่องนี้เพราะอยากบอกเป็นนัยถึงเหตุการณ์บ้านเมืองและเตือนมู่หรงเหยียน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรสาวตนเองแล้ว แม้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูวสันต์ อวี๋เหวินจวิ้นก็ยังตกใจจนเหงื่อเย็นไหลชุ่ม เขาเหลือบมองมู่หรงเหยียนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมองอวี๋ชิงจยาด้วยสีหน้าเข้มงวด “จยาจยา ห้ามพูดจาส่งเดช!”
อวี๋ชิงจยาสะดุ้งตกใจ นางคิดจริงๆ ว่าสายเลือดที่ส่งต่อจากบรรพบุรุษของเชื้อพระวงศ์ต้องมีปัญหาแน่ คนธรรมดาที่ใดมีงานยามว่างเป็นการฆ่าฟันคน เห็นเลือดแล้วตื่นเต้นบ้าง แต่นางคาดไม่ถึงว่าบิดาจะแสดงท่าทีรุนแรงเช่นนี้ นางมองบิดาอย่างตะลึงงัน นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
อวี๋เหวินจวิ้นกลับดูกระสับกระส่าย สายตามองไปมาซ้ายขวาระหว่างโต๊ะอาหารสองโต๊ะไม่หยุด
อวี๋เหวินจวิ้นเป็นทั้งเจ้าบ้านและผู้อาวุโส เขานั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางของห้อง โดยมีโต๊ะสองตัวตั้งอยู่ด้านซ้ายและขวา ฝั่งขวาถือเป็นเกียรติ โดยปกติแล้วอวี๋ชิงจยาจะนั่งทางขวามือของบิดาโดยตรง แต่ตอนนี้มีเพิ่มมาอีกคน นางจึงถูกย้ายไปอยู่ทางซ้าย ทำให้อวี๋ชิงจยากับมู่หรงเหยียนนั่งหันหน้าเข้าหากัน เมื่อเงยหน้าก็จะมองเห็นอีกฝ่าย สายตาของอวี๋เหวินจวิ้นในยามนี้มองไปมาระหว่างสองโต๊ะ สีหน้าแข็งทื่อราวกับคิดจะพูดบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูด
ในที่สุดมู่หรงเหยียนก็วางตะเกียบลง เงยหน้าขึ้นและกวาดตาไปทางอวี๋ชิงจยาด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขาหันหน้าไปสบตากับอวี๋เหวินจวิ้นพอดี มู่หรงเหยียนยิ้มเป็นเชิงเข้าใจให้กับสายตาตื่นตระหนก กังวล และหวาดผวาของอวี๋เหวินจวิ้นที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
รอยยิ้มนี้ราวกับแฝงไว้ซึ่งน้ำแข็งอันแหลมคม อวี๋เหวินจวิ้นเห็นแล้วรู้สึกหนาวยะเยือกในทรวง ดูจากท่าทางของมู่หรงเหยียนแล้ว แสดงว่าเขาเข้าใจว่าอวี๋เหวินจวิ้นกำลังกังวลสิ่งใดอยู่ และเข้าใจว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ของอวี๋ชิงจยาเป็นการไม่เคารพต่อราชวงศ์ทั้งหมดรวมถึงบรรพบุรุษของเขาอย่างยิ่ง
มู่หรงเหยียนเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นที่สุด อวี๋เหวินจวิ้นกังวลใจจนยากจะสงบได้ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ยิ่งกว่านั้นจยาจยายังเป็นแค่เด็กหญิงที่อายุไม่ถึงสิบห้า หลางหยาอ๋องผู้สูงส่งคงไม่ถึงกับคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กหญิงคนหนึ่งกระมัง
น่าจะไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง…อวี๋เหวินจวิ้นนึกถึง ‘ผลการรบ’ อันรุ่งโรจน์ของมู่หรงเหยียนก็เริ่มไม่แน่ใจแล้ว
อวี๋ชิงจยาพบว่าในห้องโถงไม่มีใครพูดคุยอะไรอีก นางจึงมองซ้ายแลขวาด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยถาม “ท่านพ่อ พวกท่านกำลังคุยอะไรกันอยู่หรือเจ้าคะ”
อวี๋เหวินจวิ้นเก็บสายตากลับมา จิตใจมีอารมณ์หลากหลายปะปนกัน กลับเป็นมู่หรงเหยียนที่ทำความสะอาดมือในอ่างทองแดงข้างๆ แล้วเช็ดคราบน้ำที่นิ้วอย่างไม่รีบร้อนเอ่ยขึ้น “กำแพงมีหู คำพูดเช่นนี้วันหลังอย่าได้พูดอีก”
อวี๋ชิงจยาได้ยินบิดาถอนหายใจยาวอยู่ไกลๆ นางไม่เข้าใจว่าบิดาตื่นตระหนกอะไรอยู่ จึงถามด้วยความประหลาดใจ “ในนี้ก็ไม่มีคนนอกเสียหน่อย บ่าวรับใช้ก็เป็นบ่าวเก่าแก่ในตระกูลทั้งนั้น รู้ตื้นลึกหนาบางกันหมด เหตุใดจะพูดไม่ได้ล่ะเจ้าคะ”
“อดีตรัชทายาทก่อนถูกคนฟ้องร้องก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” มู่หรงเหยียนชิงลุกขึ้นก่อน ผงกศีรษะให้พวกเขาสองคนแล้วเดินไปข้างนอก “ข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน เชิญพวกเจ้าตามสบาย”
อวี๋ชิงจยาพยักหน้าตอบรับไปโดยไม่ทันตั้งตัว จนกระทั่งคนเดินไปไกลแล้วนางถึงเพิ่งได้สติ ไม่ใช่สิ นางเป็นคุณหนู ส่วนจิ่งหวนเป็นแค่อนุภรรยา ถือสิทธิ์อะไรให้อีกฝ่ายมาสั่งสอน
อวี๋ชิงจยาจ้องมองแผ่นหลังของมู่หรงเหยียนด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย
อวี๋เหวินจวิ้นลูบเคราพลางมองอวี๋ชิงจยาด้วยแววตาล้ำลึก “บุตรสาวโง่ของข้า”
อวี๋ชิงจยาหันมาเอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ท่านพ่อ วันนี้ท่านเป็นอะไรไป เอาแต่เข้าข้างจิ่งหวนไปเสียทุกเรื่อง ตอนนี้ยังบอกว่าข้าโง่อีก”
“ช่างเถอะ” อวี๋เหวินจวิ้นถอนหายใจคราหนึ่ง แล้วลุกขึ้นลูบผมนุ่มของบุตรสาว “คนโง่มีวาสนาของคนโง่ กลับไปพักผ่อนเถอะลูก”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 พ.ค. 67