วันรุ่งขึ้น อวี๋ชิงจยาไปพบบิดาตั้งแต่เช้าตรู่ ขณะกินอาหาร อวี๋ชิงจยากับอวี๋เหวินจวิ้นพูดคุยถึงเรื่องจดหมายที่ส่งมาจากสกุลอวี๋
อวี๋เหวินจวิ้นก็ทำอะไรกับท่านย่าผู้มีนิสัยเผด็จการแสนไร้เหตุผลผู้นั้นไม่ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ลืมว่าตนเองต้องสูญเสียภรรยาไปด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีวันทำผิดพลาดซ้ำเดิม แล้วปล่อยให้บุตรสาวต้องรับเคราะห์เพราะเขา อวี๋เหวินจวิ้นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “บุรุษควรประสบความสำเร็จด้วยตนเอง หากเอาแต่พึ่งพาตระกูล พึ่งพาตำแหน่งขุนนางที่ผู้อาวุโสในตระกูลจัดเตรียมไว้ให้แล้วจะมีดีอะไร พ่อไม่ทำเรื่องที่ไร้ศักดิ์ศรีเช่นนั้นแน่ อีกอย่างพ่อก็ไม่คิดว่าชิงโจวเป็นสถานที่เลวร้ายอันใด ความกันดารห่างไกลนี้ทำให้พ่อยิ่งต้องยืนหยัดบนหลักการ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ จยาจยา อีกเดี๋ยวพ่อจะส่งจดหมายกลับไปหาตระกูลเอง เจ้าก็ใช้ชีวิตอย่างสบายใจไป”
อวี๋ชิงจยาโล่งใจอย่างยิ่ง บิดาไม่คิดจะกลับไปบ้านนั้นก็ดีแล้ว อวี๋ชิงจยาพลันยิ้มแย้มแจ่มใส แม้ว่าปีศาจจิ้งจอกอย่างจิ่งหวนนั่งอยู่ตรงหน้านางก็ไม่ใส่ใจ
แน่นอนว่ามู่หรงเหยียนดูไม่สนใจความวุ่นวายของสกุลอวี๋สักนิด อีกทั้งดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนจะจำเรื่องที่ผลักนางไม่ได้แม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องหวังให้อีกฝ่ายมารู้สึกผิดหรือละอายใจต่อเรื่องนี้เลย
อวี๋ชิงจยาเก็บ ‘แผนการแก้แค้น’ ของตนไว้ในใจพร้อมกับกัดฟันกรอด อดทนต่อท่าทีอันน่ารังเกียจของปีศาจจิ้งจอก
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ อวี๋เหวินจวิ้นก็โพล่งถามขึ้นมา “จยาจยา เจ้าอยากเรียนขี่ม้ายิงธนูหรือไม่”
“ไม่อยากเจ้าค่ะ” อวี๋ชิงจยาปฏิเสธทันทีโดยไม่คิด “ข้าไม่ชอบยิงธนูเสียหน่อย ไฉนต้องเรียนด้วยเจ้าคะ”
อวี๋เหวินจวิ้นเส้นเลือดบนหน้าผากกระตุก บอกเป็นนัยอย่างอดทน “เจ้ามักจะบอกเสมอว่าไม่มีอะไรทำไม่ใช่หรือ มิสู้ใช้เวลานี้เล่าเรียนประวัติศาสตร์และศิลปะการต่อสู้เอาไว้ ถือเสียว่าเพิ่มวิชาความรู้ติดตัวมาหนึ่งอย่าง”
อวี๋ชิงจยาคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าชีวิตที่ไม่มีอะไรทำนั้นสบายกว่ามาก “ยิงธนูทั้งเหนื่อยทั้งดูไม่งาม ข้าไม่อยากเรียนเจ้าค่ะ”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากโต๊ะอาหารฝั่งตรงข้าม
อวี๋เหวินจวิ้นเห็นมู่หรงเหยียนกำลังเช็ดนิ้วมืออย่างช้าๆ พร้อมกับยิ้มมุมปาก ก็ยิ่งกระอักกระอ่วน “จยาจยา เจ้าอยากเรียน”
“ข้าไม่อยาก…” อวี๋ชิงจยาเอ่ยมาแล้วก็ชะงักไป เห็นท่าทางบิดาไม่ยอมให้ปฏิเสธแล้วก็เผลอตกปากรับคำในที่สุด “ก็ได้ ข้าเรียนก็ได้เจ้าค่ะ”
อวี๋ชิงจยาได้วิชาเรียนเพิ่มมาอย่างงุนงง นางคิดว่ากว่าจะหาอาจารย์ที่เหมาะสมก็ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าอาจารย์จะเข้าจวนในสามวันต่อมา
“ยามนี้ผู้ใดใคร่ปกครองราษฎรด้วยวิธีการเก่า ล้วนเปรียบเสมือนเฝ้าตอรอกระต่าย ดังนั้นนักปราชญ์มิพึงลอกเลียนวิธีการโบราณ ไม่พึงยึดติดในขนบธรรมเนียมเก่า แต่ควรดำเนินการปกครองที่สอดคล้องกับสถานการณ์จริงในบ้านเมืองปัจจุบัน” อาจารย์สวมชุดคลุมยาวแขนกว้าง หลังจากอ่านบทการปกครองบ้านเมืองอันเลื่องชื่อจบก็ก้มมามองข้างล่าง “เข้าใจหรือไม่”
มู่หรงเหยียนพยักหน้าเบาๆ
อาจารย์พึงพอใจอย่างยิ่ง รีบหยิบม้วนตำราออกมาเริ่มบทต่อไป
“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ ข้ายังไม่เข้าใจ” อวี๋ชิงจยาตะลึงงัน นางถูกยัดเยียดบทความตั้งแต่ยุคก่อนราชวงศ์ฉินอันแสนไม่คุ้นเคยเข้ามาในหัวอย่างไม่เข้าใจสาเหตุ ยังไม่ทันให้นางท่องจำขึ้นใจก็เริ่มบทต่อไปทันที อวี๋ชิงจยารู้สึกประหลาดใจยิ่ง “ก่อนหน้านี้มีบทอ้างอิงหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ เหยี่ยนหวังปกครองด้วยเมตตาธรรมนำพาแคว้นสูญสิ้น** หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
มือที่กำลังคลี่ม้วนตำราของอาจารย์พลันหยุดชะงัก เขาคาดไม่ถึงว่า ‘ของประดับมงคล’ ชิ้นนี้จะถามคำถามขึ้นมา หากอธิบายให้นางฟัง จะต้องทำให้การเรียนคืบหน้าช้าแน่ อาจารย์มีสีหน้าลังเลเล็กน้อย
อวี๋ชิงจยารู้สึกว่าตั้งแต่ที่บิดาเยี่ยมสหายกลับมา เรื่องในบ้านก็แปลกพิกลอย่างบอกไม่ถูก นางกล่าวอย่างตะลึงงัน “ท่านเป็นอาจารย์ที่เชิญมาให้ข้าไม่ใช่หรือ”
เหตุใดอาจารย์ถึงสนใจฟังปีศาจจิ้งจอกมากกว่า ไม่ยอมสนใจข้าเลยเล่า
มู่หรงเหยียนแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากวาดตามองไปทางโต๊ะหนังสือทางซ้าย ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น อาจารย์ทั้งตกตะลึงและคาดไม่ถึงเมื่อได้รับคำสั่งจากมู่หรงเหยียน หลางหยาอ๋องกลายเป็นคนที่ทำอะไรแล้วใส่ใจผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไร แม้แต่คำสั่งของรัชทายาทเขายังเมินเฉย นับประสาอะไรกับในยามวิกฤตที่ต้องรวบรวมกำลังคนเพื่อฟื้นฟูบ้านเมือง
อาจเป็นเพราะเขาจะทำอะไรในตอนนี้ล้วนต้องใช้ของประดับมงคลอย่างอวี๋ชิงจยามาตบตา เช่นนั้นจะละเลยนางเกินไปไม่ได้จริงๆ หลังจากอาจารย์พยายามหาเหตุผลให้ตนเองก็กางม้วนตำราเมื่อครู่แล้วอธิบายอย่างละเอียดอีกครั้ง