แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในขณะที่ปล่อยสายธนู อวี๋ชิงจยาก็ได้ปรับท่าทางอย่างไม่อาจเลี่ยง ทว่าผลของการทำเช่นนี้กลับเลวร้าย นี่ไม่ใช่ท่าทางที่นางคุ้นเคย พอสายธนูดีดออกก็เสียดสีกับปลายแขนของนางอย่างฉับพลัน
เนื่องจากงานหลอมเหล็กมีข้อจำกัด แม้สายธนูจะขัดมาอย่างตั้งใจ แต่ก็ยังมีส่วนที่หยาบๆ อยู่ตามขอบไม่น้อย อวี๋ชิงจยาร้องซี้ด รีบมองแขนของตน
แม้จะอยู่ใต้ร่มผ้าหนึ่งชั้นก็ยังโดนบาดจนเลือดออก อวี๋ชิงจยาไม่เคยบาดเจ็บหนักเช่นนี้มาก่อน ไม่นานน้ำตาก็เอ่อคลอ
เดิมทีมู่หรงเหยียนไม่สนใจการเคลื่อนไหวของคนข้างๆ พอได้ยินเสียงร้องของอวี๋ชิงจยาจึงหันกลับมาอย่างไม่ใส่ใจและเห็นเลือดสีแดงสดซึมออกจากผิวหนังโดยไม่ทันตั้งตัว มู่หรงเหยียนม่านตาหดเล็กลง นิ้วมือพลันกำเข้าหากันแน่น
มู่หรงเหยียนหันหน้าหลบทันที ดวงตาจ้องมองพื้นโล่ง นิ้วทั้งสองคลายออกแล้วกำเข้า พยายามระงับความกระหายเลือดที่กำลังกำเริบ
คำพูดของอวี๋ชิงจยาเมื่อหลายวันก่อนแม้ไม่เคารพกันอย่างยิ่ง แต่มู่หรงเหยียนรู้ว่านางพูดไม่ผิด บุรุษสกุลมู่หรงเกิดมาพร้อมกับนิสัยกระหายเลือดและชอบการฆ่าฟันจริงๆ
ก่อนหน้านี้เหล่าขุนนางในราชสำนักมักขุ่นเคืองขุนนางที่ประจบสอพลออยู่เสมอ มักตำหนิคนถ่อยเหล่านี้ว่าทำฮ่องเต้เสียคน ทว่าเวลานี้กลับกลายเป็นการยกย่องคนเหล่านี้ เริ่มจากบรรพบุรุษของเขา สกุลมู่หรงทุกรุ่นจะมีพวกผิดแผกมาสักสองสามคน เกิดมาพร้อมกับนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่สามารถควบคุมความกระหายเลือดได้ สกุลมู่หรงเดิมเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของราชวงศ์ก่อน สุดท้ายกลายเป็นฮ่องเต้หลังผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ สายเลือดอันกล้าหาญชำนาญศึกของบุรุษในสกุลมู่หรงนั้นช่างวิเศษ ทว่าเรื่องราวบนโลกก็น่าขบขันเช่นนี้ ตระกูลของพวกเขายิ่งเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมเพียงใด ความกระหายเลือดก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น
หมิงอู่ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ เสด็จอาของเขาฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้ อดีตรัชทายาทไม่พอใจต่อการกระทำของบิดาและพี่น้องอย่างยิ่ง แต่เขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่าบุตรชายของตน…มู่หรงเหยียนก็คือมารร้ายที่น่าสะพรึงกลัว
มู่หรงเหยียนมีพรสวรรค์ด้านดนตรี ขี่ม้ายิงธนู และวรยุทธ์สูงส่งมาก แต่ข้อเสียในด้านนี้ของเขาร้ายแรงกว่าเสด็จปู่และเสด็จอาเสียอีก สุรากับสตรีเป็นตัวกระตุ้นให้เขาสูญเสียการควบคุมตนเองไป ดังนั้นมู่หรงเหยียนจึงไม่แตะต้องสุราและไม่มีนางบำเรอข้างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้จิตใจสูญเสียการควบคุม แต่ยามนี้เขากลับไม่อาจทนต่อความกระหายเลือดภายในร่างกายได้อีกต่อไป
อวี๋ชิงจยาจับแขนของตนเองอย่างปวดใจ บาดแผลยังมีเลือดไหลไม่หยุด อาจารย์ผู้สอนธนูเป็นทหาร นางไม่สะดวกพาสาวใช้เข้ามา ดังนั้นพวกไป๋จื่อไป๋จีจึงไม่ได้อยู่ใกล้ๆ อวี๋ชิงจยาบาดเจ็บหนักเช่นนี้เป็นครั้งแรก ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรเรียกหาใครดี
อาการปวดแสบปวดร้อนที่แขนครอบงำความสนใจส่วนใหญ่ของนางไป แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังสังเกตได้ว่าท่าทางของปีศาจจิ้งจอกดูไม่ค่อยปกติ
อีกฝ่ายหันหลังให้นาง ร่างกายส่วนบนเกร็งจนเห็นเส้นโค้งกล้ามเนื้อแขนได้ชัดเจนผ่านเสื้อผ้า อวี๋ชิงจยาไม่เข้าใจ นางถามด้วยเจตนาดี “เจ้าเป็นอะไรไป”
มู่หรงเหยียนไม่ตอบ ผ่านไปครู่หนึ่ง กว่าเขาจะเค้นคำออกมาได้อย่างยากลำบาก “ตรงนั้นมีน้ำสะอาดอยู่ ไปล้างแผลสิ”
“เวลาเลือดออกห้ามโดนน้ำ ไม่เช่นนั้นจะทิ้งรอยแผลเป็น”
คิดไม่ถึงว่าอวี๋ชิงจยาจะกังวลเรื่องทิ้งรอยแผลเป็นด้วย ช่างน่ารักไร้เดียงสาเสียจริง นางไม่เห็นหรือว่าตอนนี้มีสัตว์ป่าที่อันตรายที่สุดอยู่ข้างๆ นาง มู่หรงเหยียนตาแดงก่ำ ม่านตาหดลงไม่หยุด มีประกายประหลาดในดวงตาดำอันมืดมิด เขาสูดหายใจเข้าลึก พยายามควบคุมตนเองอย่างเต็มที่ เขาเดินไปที่ข้างถังน้ำและหยิบผ้ามาชุบน้ำ ก่อนจะโยนใส่มืออวี๋ชิงจยาโดยไม่หันไปมอง
“ปิดแผลไว้”
อวี๋ชิงจยายังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง
มู่หรงเหยียนกลับเอ่ยขัดนางอย่างทนไม่ไหวเสียก่อน “ลดอาการบวม”
ใช้ผ้าเย็นประคบแผลช่วยลดอาการบวมได้ด้วยหรือ อวี๋ชิงจยาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่นางเพียงคิดว่าตนเองแค่ไม่เคยได้ยินเท่านั้น จึงปิดบาดแผลอย่างเชื่อฟัง
โชคดีที่ไป๋จื่อมาถึงอย่างรวดเร็ว นางเห็นแขนของอวี๋ชิงจยาก็อุทานออกมาว่า “คุณหนูของบ่าว!” แล้วพาอวี๋ชิงจยากลับไปพันแผลใหม่อย่างปวดใจ ในที่สุดสนามยิงธนูก็เงียบสงบ ดวงตาของมู่หรงเหยียนดำจนน่ากลัว เขาน้าวสายธนูเล็งไปที่เป้า ยิงฟึ่บๆๆ สามดอกรวด พละกำลังและความแม่นยำสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 มิ.ย. 67