อวี๋เหล่าจวินพูดไม่ออก ด้วยไม่รู้จะพูดคำที่เหลืออย่างไร แม้อวี๋เหวินจวิ้นจะสืบวงศ์วานสองบ้าน แต่ช่องว่างระหว่างบ้านใหญ่กับบ้านรองนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ห้องหนังสือที่เรือนหน้าก็แบ่งออกเป็นสองส่วน เมื่อคืนนี้อวี๋เหวินจวิ้นนอนในห้องหนังสือของเรือนใหญ่ นั่นหมายความว่าเขาอาศัยอยู่ที่บ้านใหญ่ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของอวี๋เหล่าจวินครบถ้วน อวี๋เหล่าจวินจะพูดอย่างไรได้อีก หรือจะให้บอกว่า ‘หลี่ซื่อเป็นม่ายมาหลายปี จนตอนนี้บ้านใหญ่ยังไม่มีผู้สืบทอดตระกูล ดังนั้นเจ้าต้องไปอยู่บนเตียงของหลี่ซื่อ’ แทน?
ถ้าเป็นหลี่ซื่อคงพูดได้ไม่กระดากปาก แต่อวี๋เหล่าจวินอับอายที่ต้องพูด
อวี๋เหล่าจวินถูกยอกย้อนจนพูดไม่ออก นี่คือคำพูดของนาง และตอนนี้คำพูดพวกนั้นก็ได้ย้อนกลับมาหาตัวนางเองแล้ว
ขณะทางฝั่งอวี๋เหล่าจวินวุ่นวายไม่หยุด ทางเรือนของบ้านรองกลับสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่
อิ๋นจูชอบเรื่องซุบซิบนินทาเป็นที่สุด ตลอดช่วงเช้าได้ยินแต่เรื่องขบขันของบ้านใหญ่ อวี๋ชิงจยาเห็นการแสดงออกของอิ๋นจูก็รู้แล้วว่านางคิดจะพูดอะไร อวี๋ชิงจยาจึงยื่นมือไปปรามอิ๋นจูแล้วกล่าว “ข้าไม่ได้อยากฟังข่าวที่เรือนนั้น ข้าแค่จะถามเจ้าว่าท่านพ่อยังอยู่กับเหล่าจวินใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ” อิ๋นจูไม่รู้ว่าถอนหายใจด้วยความเสียใจหรือกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “แต่บ่าวได้ยินคนข้างกายนายท่านบอกว่านายท่านสั่งให้ย้ายสิ่งของที่ใช้เป็นประจำไปที่ห้องหนังสือเรือนหน้า เป็นไปได้ว่าสองสามวันนี้จะพักอยู่ที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
ไป๋จื่อเดินเข้ามาจากข้างนอก พอได้ยินคำพูดนี้ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วกล่าว “คำว่า ‘กตัญญู’ นั้นทับคนตายโดยแท้ ท่านเจ้าเมืองเองก็จนปัญญาเจ้าค่ะ”
ไป๋จื่อเพิ่งกลับมากับอวี๋เหวินจวิ้นเมื่อคืน หลังจากพักผ่อนหนึ่งคืน วันนี้ก็มีเรี่ยวแรงขึ้น ตอนที่ไป๋จื่อเพิ่งได้เจออวี๋ชิงจยา นางเกือบจะร้องไห้ออกมา วันนี้ร่างกายดีขึ้นแล้วจึงรีบมาดูแลอยู่ข้างๆ อวี๋ชิงจยาทันที ไป๋จื่อยังคงเคยชินกับตอนที่อยู่ชิงโจว จึงยังเรียกอวี๋เหวินจวิ้นว่า ‘ท่านเจ้าเมือง’
อวี๋ชิงจยารู้ว่านี่อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ขอเพียงอวี๋เหวินจวิ้นอาศัยอยู่ลำพังที่เรือนหน้าและใช้ข้ออ้างอย่างขอไปทีว่า ‘อ่านหนังสือและฝึกฝนตนเอง’ อวี๋เหล่าจวินกับหลี่ซื่อก็มาว่ากล่าวอะไรไม่ได้แล้ว และคนเหล่านี้คงหยุดหาเรื่องได้เสียที
อวี๋ชิงจยาไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ เพราะตอนอยู่ที่เมืองก่วงหลิงนางก็อาศัยอยู่ลำพังภายในเรือน ตอนนี้ก็แค่เรือนกว้างขึ้นมาหน่อย หากนางอยากจะพบอวี๋เหวินจวิ้น แค่ไปหาที่เรือนหน้าโดยตรงก็ได้แล้ว
เวลานี้ภายในเรือนด้านหลังของบ้านรองก็กำลังสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ไป๋หรงเอ่ยขึ้น “คุณชาย พวกบ่าวคิดไม่ถึงว่าสกุลอวี๋จะเกิดเรื่องขึ้นมากเช่นนี้ เพราะเรื่องครอบครัวของเขา เกรงว่าอวี๋เหวินจวิ้นจะต้องอยู่ที่เรือนหน้าสักระยะหนึ่งเจ้าค่ะ หากคำนึงถึงความปลอดภัยของคุณชายแล้ว ควรให้อวี๋เหวินจวิ้นย้ายกลับมาดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้อง การไม่เคลื่อนไหวถือเป็นการปกปิดที่ดีที่สุด อวี๋เหวินจวิ้นควรทำอย่างไรก็จงทำไปอย่างนั้น ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ” มู่หรงเหยียนถือจดหมายไว้ในมือ อ่านอย่างรวดเร็วทีละหลายบรรทัดพลางกำชับไป๋หรงอย่างไม่ใส่ใจนัก “ให้เขาอยู่ที่ห้องหนังสืออย่างสบายใจเถอะ เขาขัดแย้งกับผู้อาวุโสในครอบครัว เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้จะทำให้คนผู้นั้นวางใจ และเบี่ยงเบนความสนใจคนเหล่านั้นได้”
อวี๋เหวินจวิ้นย้ายไปอยู่ห้องหนังสือ กำลังคนจำนวนมากยังไม่ถูกย้ายมาในจวน นั่นหมายความว่าข้างกายมู่หรงเหยียนมีไป๋หรงเพียงคนเดียวที่พอจะต่อสู้ได้บ้าง คนที่อยู่ข้างนอกย่อมไม่วางใจ แต่มู่หรงเหยียนรู้สึกว่าเรื่องพวกนั้นไม่สำคัญ หรือก็คือเขาคิดว่าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว
เขาไม่ชอบให้มีคนอยู่รอบๆ อวี๋ชิงจยามากเกินไป อย่างเช่นอวี๋เหวินจวิ้น
ไป๋หรงได้ยินแล้วพลันเลื่อมใสในเหตุผลของคุณชาย เพื่อการใหญ่ แม้จะเอาตนไปอยู่ท่ามกลางอันตรายก็อดทนได้ ไป๋หรงมองเจตนาที่แท้จริงของมู่หรงเหยียนในด้านดีเสมอ ในใจเต็มไปด้วยความชื่นชม “คุณชายปราดเปรื่องยิ่งนัก” นางเอ่ยต่อว่า “คุณชายเจ้าคะ จดหมายของไป๋ลู่เมื่อวานนี้…”
“ส่งถึงจางเสียนแล้ว?”
“เจ้าค่ะ”
“เอามา”
ไป๋หรงหยิบ ‘จดหมายลับ’ ที่อวี๋ชิงหย่าตั้งความหวังไว้ออกมาอย่างสงบเสงี่ยม แม้กระทั่งครั่งบนนั้นยังสภาพเหมือนกับตอนที่ออกจากมือของอวี๋ชิงหย่า มู่หรงเหยียนฉีกซองจดหมายอย่างไม่รีบร้อน เมื่อเห็นการกล่าวถึงตนภายในนั้นก็หัวเราะเบาๆ
ที่แท้ก็มีคนจะสืบเรื่องของเขา ทั้งยังส่งจดหมายมาถึงมือเขาอีก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 มิ.ย. 67