อวี๋เหวินจวิ้นตกตะลึงโดยสมบูรณ์ เขาจำได้ดีว่าก่อนออกเดินทางอวี๋ชิงจยาโวยวายอย่างหนักเพราะเรื่องนี้ ซ้ำยังร้องไห้ด้วยความโกรธ ตอนนี้เหตุใดถึงเปลี่ยนเป็นคนละคน
“จยาจยา พ่อรู้ว่าก่อนหน้านี้ละเลยเจ้า ตอนนี้จิ่งหวนไม่อยู่ที่นี่ หากเจ้าไม่ชอบใจก็พูดมาตรงๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องอดกลั้นเก็บมันไว้ในใจ”
อวี๋เหวินจวิ้นคิดว่าอวี๋ชิงจยายังโกรธอยู่ ตอนนี้นางจึงแสร้งพูดตรงกันข้าม อวี๋ชิงจยาส่ายหน้า กล่าวโดยไม่ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง “ท่านพ่อคิดมากแล้ว นางดีมาก อีกอย่างอะไรคือ ‘ตอนนี้จิ่งหวนไม่อยู่ที่นี่ หากเจ้าไม่ชอบใจก็พูดมาตรงๆ’ ท่านพ่อจะว่าผู้อื่นเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ”
อวี๋เหวินจวิ้นอารมณ์ภายในซับซ้อน เขาคาดไม่ถึงว่าจะถูกบุตรสาวสั่งสอนเสียเอง ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ การเปลี่ยนแปลงก่อนและหลังเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนเขาตั้งตัวไม่ค่อยทัน
รอยยิ้มบนริมฝีปากของมู่หรงเหยียนหายไป ในที่สุดมือที่ยกค้างไว้ของเขาก็ออกแรงเคาะประตูอย่างช้าๆ เสียงดังชัดเจน
อวี๋เหวินจวิ้นได้ยินเสียงเคาะประตู สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่วนท่าทีของอวี๋ชิงจยากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง นางแทบจะรู้ในทันทีว่าผู้ที่อยู่นอกประตูคือใคร นางยืนขึ้น ยกชายกระโปรงแล้ววิ่งไปที่ประตู ก่อนจะออกแรงผลักประตูออก “เจ้ากลับมาแล้วหรือ เมื่อครู่นี้เจ้าไปที่ใดมา ข้าตามหาเจ้าไม่พบเลย”
น้ำเสียงเช่นนี้คล้ายบ่นแต่ก็คล้ายออดอ้อน การกระทำทั้งหมดของอวี๋ชิงจยาดูเป็นธรรมชาติ มู่หรงเหยียนก็จับข้อมือของนางอย่างเป็นธรรมชาติเช่นกัน ดึงนางออกห่างจากประตู แล้วหันไปปิดประตู “ข้างนอกลมแรง อย่ายืนตรงช่องลม”
อวี๋เหวินจวิ้นนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน เขาพลันเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยาย
หัวข้อสนทนาเมื่อครู่นี้ไม่มีใครพูดต่อ อวี๋เหวินจวิ้นไม่รู้ว่ามู่หรงเหยียนได้ยินมากน้อยเพียงใด แต่ในเมื่อมู่หรงเหยียนไม่พูด อวี๋เหวินจวิ้นก็ไม่เอ่ย ต่อให้คุณชายถามขึ้นมา อวี๋เหวินจวิ้นก็ไม่ละอายใจ เขาอยากช่วยงานสำคัญของคุณชาย แต่ก็ต้องดูแลบุตรสาวในครอบครัวด้วยเช่นกัน บุตรสาวรู้เรื่องราวแค่เพียงบางส่วน เข้าใจสถานะของคุณชายผิด ส่งผลให้นางกับคุณชายไม่ถูกกันดั่งน้ำกับไฟ เขาแยกคนทั้งสองออกจากกัน ว่าด้วยหลักของเหตุผลและความรู้สึกแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะตำหนิเขาได้
อวี๋เหวินจวิ้นตัดสินใจภายในใจแล้ว เตรียมพูดไปตามจริงถ้ามู่หรงเหยียนถามถึง ต่อให้ทำเช่นนี้แล้วมู่หรงเหยียนจะไม่พอใจก็ตาม แต่ที่น่าแปลกคือ…เหตุใดมู่หรงเหยียนถึงดูอารมณ์ดี
อวี๋เหวินจวิ้นรู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ
มู่หรงเหยียนนั่งลงตรงที่นั่งแขกชั้นบนอย่างรู้สึกสมเหตุสมผล…
ในอดีตอวี๋ชิงจยาโกรธจนควันแทบขึ้นหัวเพราะลำดับที่นั่ง ทว่าตอนนี้นางลุกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติมาก ราวกับผ่านการฝึกฝนมาหลายครั้ง แล้วนั่งลงที่ด้านล่างมู่หรงเหยียนอย่างคล่องแคล่วและคุ้นเคย ทั้งยังหยิบส้มในถาดผลไม้มาเล่นอย่างผ่อนคลาย
เมื่อมู่หรงเหยียนเข้ามาแล้ว อวี๋เหวินจวิ้นก็จำต้องทักทายใหม่อีกครั้ง ขณะที่พวกเขาสองคนสนทนากัน อวี๋ชิงจยาก็ปอกส้มอย่างสบายใจ นางแบ่งออกมาหนึ่งกลีบแล้วใส่เข้าปาก พลันขมวดคิ้วด้วยความเปรี้ยว
มู่หรงเหยียนกำลังพูด จู่ๆ แขนเสื้อก็ถูกคนดึง เขาหันมามอง เห็นมือเรียวขาวเนียนของอวี๋ชิงจยากำส้มกลีบหนึ่ง มองเขาตาปริบๆ “เจ้ากินส้มหรือไม่”
มู่หรงเหยียนก้มหน้ากวาดตามองปราดหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเย็นชา “ไม่ ข้าไม่กินของพวกนี้”
“เจ้าชิมดูสิ!” อวี๋ชิงจยาพูดพลางยัดส้มกลีบหนึ่งใส่ในมือมู่หรงเหยียน
เขาจนปัญญา ได้แต่ก้มหน้าแล้วส่งส้มกลีบนั้นเข้าไปในปาก หัวคิ้วของมู่หรงเหยียนพลันกระตุก
อวี๋ชิงจยากล่าวกับเขาอย่างตื่นเต้นดีใจ “เปรี้ยวเป็นพิเศษใช่หรือไม่!”
ดวงตาของนางเป็นประกาย ภายในนั้นเต็มไปด้วยความสุขที่หลอกคนสำเร็จ แววตาแสดงความรู้สึกชัดเจน มู่หรงเหยียนมองนาง ทั้งที่ท่าทางยังคงเหมือนกับเมื่อครู่นี้แท้ๆ แต่สายตากลับแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มและอ่อนโยนขึ้นมาก
อวี๋เหวินจวิ้นที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งพลันรู้สึกว่าตนก็เปรี้ยวเช่นกัน…แต่เป็นการเปรี้ยวฟัน!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 มิ.ย. 67