ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน
ทดลองอ่าน ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน บทที่ 65
บทที่ 65 ไร้พิษภัย
อวี๋เหวินจวิ้นมองดูคนทั้งสองที่นั่งฝั่งเดียวกันแล้วเพิ่งพบว่าตนเหมือนจะละเลยสิ่งสำคัญไป
ในตอนแรกสุดที่อวี๋เหวินจวิ้นพามู่หรงเหยียนกลับมาอย่างลับๆ เขาคิดแค่จะปกปิดสถานะอีกฝ่ายอย่างไร ภายหลังอวี๋ชิงจยากับมู่หรงเหยียนไม่ลงรอยกัน อวี๋เหวินจวิ้นนอกจากปวดหัวก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด ต่อมาเขาพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่เมืองผิงชาง อวี๋ชิงจยาออกจากบ้านเป็นเวลานานเช่นนี้เป็นครั้งแรก อวี๋เหวินจวิ้นทั้งกระวนกระวายทั้งหวาดกลัว จึงมีเวลาได้ไตร่ตรองถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ เขาหยิบมาคิดทีละเรื่อง ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าช่วงก่อนหน้าตนละเลยบุตรสาวไปมากเพียงใด เขารู้สถานะที่แท้จริงของมู่หรงเหยียน แต่อวี๋ชิงจยาไม่รู้ เดิมทีนางก็สูญเสียมารดาตั้งแต่ยังเล็ก หากเขาเอาแต่ลำเอียงเข้าข้างมู่หรงเหยียนมีแต่จะทำให้อวี๋ชิงจยารู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นเรื่อยๆ
อวี๋เหวินจวิ้นได้เรียนรู้บทเรียนและตระหนักถึงความผิดพลาดของตน ตั้งใจว่ากลับมาแล้วจะชดเชยให้อย่างดี แต่ใครจะรู้ว่าพอเขากลับมา อวี๋ชิงจยากับมู่หรงเหยียนจะสามัคคีกลมเกลียวกันเสียอย่างนั้น บุตรสาวไม่อยากได้รับการชดเชยจากบิดาอย่างเขาอีกต่อไปแล้ว
อย่างเช่นเมื่อครู่นี้ อวี๋ชิงจยากินส้มคนเดียวหนึ่งกลีบ หากรู้สึกเปรี้ยว แค่วางมันลงก็ได้แล้ว นางกลับจะยื่นให้มู่หรงเหยียนชิมให้ได้ ที่สำคัญคือมู่หรงเหยียนก็ยอมรับส้มมาและให้ความร่วมมือจริงๆ บุตรสาวของเขาแม้จะฉลาดและยิ้มง่าย แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะเข้าหาได้ง่ายนัก เนื่องจากอวี๋ซื่อและสภาพแวดล้อมที่เติบโตขึ้นมา อวี๋ชิงจยาจึงดูเหมือนเป็นมิตรเข้ากับคนง่าย แต่ในความเป็นจริงนางวางตัวห่างเหินกับผู้อื่นมาก การออดอ้อนอย่างเป็นธรรมชาติเช่นในตอนนี้มีให้เห็นน้อยมาก ส่วนมู่หรงเหยียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ต่อให้ผู้อื่นตายตรงหน้าเขา เขาก็ไม่ก้มหน้ามองสักครั้งด้วยซ้ำ แล้วจะกินอาหารที่ผู้อื่นส่งมาให้ได้อย่างไร ทั้งยังมองผู้อื่นด้วยสายตาอ่อนโยน แทบจะตามใจทุกอย่างเช่นนี้
ในที่สุดอวี๋เหวินจวิ้นก็ตระหนักได้ว่ามีตรงที่ใดที่ผิดปกติ เขาเพียงคิดแต่จะปกปิดสถานะของมู่หรงเหยียน ไม่ให้บุตรสาวขัดแย้งกับอีกฝ่าย แต่กลับลืมไปว่ายามพบกัน อวี๋ชิงจยาอายุสิบสี่ มู่หรงเหยียนอายุสิบห้า บุรุษหนุ่มกับแม่นางน้อยอยู่ร่วมกันทุกเช้าค่ำ ทั้งยังอายุห่างกันเพียงปีเดียว
หากในบ้านรองมีนายหญิง ย่อมไม่มีทางมองข้ามเรื่องเช่นนี้แน่ แต่อวี๋ซื่อตายจากไปด้วยโรคภัย นายหญิงผู้เฒ่าอวี๋ของบ้านรองก็อุทิศตนบูชาพระ ส่วนอวี๋เหวินจวิ้นเป็นบุรุษที่ไร้ซึ่งความละเอียดอ่อน กอปรกับการเดินทางต้องหยุดชะงักเกือบสามเดือน ทำให้เขาฉุกคิดเรื่องความใกล้ชิดระหว่างสองคนนั้นได้
อวี๋เหวินจวิ้นอารมณ์ซับซ้อนยากอ่านสีหน้า เขาเป็นบิดา ขณะเดียวกันก็เป็นขุนนางผู้หนึ่ง จู่ๆ มีวันหนึ่งที่พบว่านายน้อยที่เขาต้องช่วยเหลือได้อยู่ร่วมทุกเช้าค่ำกับบุตรสาวของตน และบุตรสาวก็ยังพึ่งพานายน้อยอย่างมาก ไม่ว่าเป็นบุรุษคนใดก็จำต้องเกิดความรู้สึกหลากหลายผสมปนเป
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทำตัวเสเพลอย่างไร้ขอบเขต โปรดปรานขุนนางโฉด ทั้งยังใช้ข้อกล่าวหาที่สร้างขึ้นมาสังหารรัชทายาทที่อ่อนโยนจิตใจดีและเป็นผู้ปกครองที่แท้จริง เพื่อชาติบ้านเมืองอวี๋เหวินจวิ้นจึงร่วมเสี่ยงอันตรายกับเหล่าขุนนาง คุ้มครองมู่หรงเหยียนอย่างลับๆ รอให้มู่หรงเหยียนเติบโต แล้วยกทัพกอบกู้บ้านเมืองกลับมา ถึงอย่างนั้นการแสดงความภักดีต่อเจ้านายก็แตกต่างจากการเลือกบุตรเขยโดยสิ้นเชิง ในฐานะนายน้อย มู่หรงเหยียนเป็นผู้มีพรสวรรค์เหนือผู้คน มีความเด็ดขาดอย่างยิ่ง เป็นกษัตริย์ที่ควรค่าให้ผู้คนติดตาม แต่หากเปลี่ยนเป็นอีกด้านหนึ่ง ให้คนที่มีนิสัยอย่างมู่หรงเหยียนมาเป็นบุตรเขยล่ะก็…มิสู้หาผู้อื่นดีกว่า
คนสกุลมู่หรงส่วนใหญ่เป็นพวกเย็นชา กระหายเลือด ดื้อรั้น มักทำให้คนหวาดกลัว อวี๋เหวินจวิ้นจะใช้ความโชคดีตลอดชีวิตของบุตรสาวมาแลกกับความราบรื่นในเส้นทางขุนนางของตนเองได้อย่างไร
อวี๋เหวินจวิ้นกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ตัดสินใจว่าบิดาอย่างเขาผู้นี้จะต้องควบคุมระยะห่างของบุตรสาวกับบุรุษอีกคนให้ได้
อวี๋ชิงจยาที่ยังยุ่งง่วนกับส้มเงยหน้าขึ้น เห็นบิดาป้องปากกระแอมหนึ่งที แล้วกล่าวกับนางด้วยสีหน้าเข้มงวด “จยาจยา เจ้าเล่นอยู่ข้างนอกนานเกินไปแล้ว ควรไปทบทวนตำราเสียที”
อวี๋ชิงจยาเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ นางหันไปมองดูท้องฟ้าข้างนอก สุดท้ายก็ลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง แล้วกล่าว “เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
มู่หรงเหยียนคิ้วกระตุกเบาๆ ทีหนึ่ง
จนกระทั่งอวี๋ชิงจยาปิดประตูเดินออกไปแล้ว อวี๋เหวินจวิ้นก็หันมามองมู่หรงเหยียนด้วยรอยยิ้ม กล่าวว่า “บุตรสาวของข้าไม่เคยได้รับความลำบากมาตั้งแต่เล็ก ถูกคนในครอบครัวเอาอกเอาใจตั้งแต่อายุยังน้อย ขายหน้าคุณชายแล้วขอรับ”
มู่หรงเหยียนขยับถ้วยชาในมือแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ถูกคนที่เรียกว่า ‘ผู้อาวุโส’ จิกหัวใช้ เรียกว่า ’เอาอกเอาใจ’ ด้วยหรือ”
อวี๋เหวินจวิ้นตะลึงงัน ฟังที่มู่หรงเหยียนพูดไม่เข้าใจ “อะไรนะขอรับ”
มู่หรงเหยียนไม่ยอมพูดอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ประตูด้วยสีหน้าเย็นชา
อวี๋เหวินจวิ้นแม้จะอยากถาม แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจถามได้อีก เขาได้แต่ลุกขึ้น แล้วมองมู่หรงเหยียนจากไป “น้อมส่งคุณชาย”
มู่หรงเหยียนผลักประตูแล้วเดินออกไป สายลมข้างนอกพัดเข้ามาในแขนเสื้อ ทำให้ชายเสื้อสีขาวของเขาส่งเสียงดังพึ่บพั่บ มู่หรงเหยียนคิดในใจ อวี๋เหวินจวิ้นมีภรรยาเอกและบุตรสาวที่ ‘พิเศษ’ เช่นนี้ ทั้งยังมีย่าที่เผด็จการและน่ารำคาญ แม้แต่สาวใช้ก็กล้ามองข้ามอวี๋ชิงจยา นี่เรียกว่า ‘เอาอกเอาใจตั้งแต่อายุยังน้อย’ ด้วยหรือ อวี๋เหวินจวิ้นในฐานะบิดากลับไม่สามารถมอบบ้านที่สบายใจให้จยาจยาได้ เช่นนั้นข้าก็จะทำเอง ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่เอาใจอวี๋ชิงจยาได้ดีไปกว่าข้าอีกแล้ว
สำหรับความระมัดระวังที่อวี๋เหวินจวิ้นแสดงออกในวันนี้ มู่หรงเหยียนหาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เขามองอวี๋ชิงจยาเป็นทรัพย์สินของเขา อวี๋เหวินจวิ้นจะเห็นด้วยก็ดี ไม่เห็นด้วยก็ช่าง เกี่ยวอะไรกับอีกฝ่ายด้วย!