การแสดงออกเช่นนี้ของอวี๋ชิงจยาไม่ทำให้คนรู้สึกว่านางหยิ่งผยองแต่อย่างใด กลับรู้สึกว่านางเป็นคนที่พานพบได้ยากและล้ำค่ากว่าเดิม ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเพลงฉางหงนั้นหาฟังไม่ได้ง่ายๆ คนงามนั้นก็สูงเกินเอื้อมมือถึง นี่ก็คือท่าทีของผู้เลื่องชื่อที่สามารถบรรเลงเพลงอันน่าตื่นตะลึงเช่นนั้น สมควรที่จะวางตัวอย่างสง่างามและหยิ่งยโส
ทุกคนต่างแย้มยิ้ม อวี๋ชิงหย่ารอยยิ้มแข็งค้าง แทบจะเกร็งมุมปากกล่าว “พวกเจ้าล้อเลียนข้าอีกแล้ว พวกเจ้าอยากพบน้องหญิงหกก็ไปหาเองสิ ข้าจะขวางพวกเจ้าได้หรือ”
ทันใดนั้นอวี๋ชิงหย่าก็เหมือนได้ย้อนกลับไปเมื่อชาติที่แล้ว ผู้คนแม้จะห้อมล้อมพูดคุยรอบตัวนาง แต่สิ่งที่พวกนางกำลังสนทนาและสนใจอยู่ล้วนเป็นอวี๋ชิงจยา ทั้งที่นางก็แซ่อวี๋เช่นเดียวกัน แต่ยามที่ทุกคนเอ่ยถึง ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ ต่อหน้านาง ทุกคนที่รู้ดีแก่ใจกลับไม่คิดหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งแม้แต่น้อย นี่เหมือนจะเป็นการยอมรับโดยนัยไปแล้วว่าผู้ที่สามารถแบกรับชื่อ ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ ได้ ย่อมมีแค่อวี๋ชิงจยาเท่านั้น และต้องเป็นอวี๋ชิงจยาเท่านั้น!
อวี๋ชิงหย่าที่แซ่อวี๋เช่นเดียวกันได้ยินคำเรียกนี้แล้วกลัดกลุ้มใจอย่างไม่ต้องสงสัย
ในเวลานี้อวี๋ชิงจยากำลังยืนซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบสงบ เดิมนางคิดว่าหลังตนเองปิดประตูไม่ออกไปข้างนอก ไม่กี่วันต่อมาทุกคนก็จะลืมเรื่องนี้ไปเอง คิดไม่ถึงว่าเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็ยิ่งทำให้จิตใจของคนเต็มไปด้วยความปรารถนา ผู้คนกลับสนใจยิ่งขึ้นไปอีก อวี๋ชิงจยายิ้มจนใบหน้าแข็งทื่อ ได้แต่หาโอกาสหนีออกมาอยู่อย่างสงบสักระยะ
อวี๋ชิงจยานั่งอยู่บนราวระเบียง ข้างหน้ามีเถาวัลย์เหี่ยวต้นหนึ่งบดบังร่างของนางไว้ ชายกระโปรงกว้างถูกลมพัดปลิวพลิ้วราวกับปีกผีเสื้อ นางจ้องมองเถาวัลย์เหี่ยวตรงหน้า แววตาพลันเหม่อลอย ตอนนี้ปีศาจจิ้งจอกกำลังทำอะไรอยู่หนอ
ขณะที่นางกำลังเหม่อลอย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่ข้างหู อวี๋ชิงจยาหันกลับไปมองก็เห็นว่าผู้มาเยือนไม่แม้แต่จะปั้นหน้ายิ้ม
อวี๋ชิงจยามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา
การแสดงออกของอวี๋ชิงหย่าไม่นับว่าดีนัก นางหยุดตรงจุดที่ห่างจากอวี๋ชิงจยาสามก้าว ยืนนิ่งแล้วเอ่ยวาจาเหน็บแนม “คนภายนอกกำลังตามหาเจ้าอยู่ เจ้ากลับมาหลบอยู่ตรงนี้คนเดียว ช่างหยิ่งยโสจริงๆ”
เวลานี้ไม่มีคนนอกอยู่ อวี๋ชิงหย่าก็ไม่แสร้งทำเป็นพี่สาวคนดีอีก อวี๋ชิงจยาหัวเราะ กล่าวพลางกะพริบตาปริบๆ “ที่จริงแล้วข้าไม่ใช่คนที่ชอบความโดดเด่นนัก แต่เรื่องราวไม่เป็นไปดั่งที่หวังไว้ ความรู้สึกก็เป็นเช่นนี้ล่ะ”
เพลิงโทสะของอวี๋ชิงหย่าลุกโชน อะไรคือ ‘ความรู้สึกก็เป็นเช่นนี้ล่ะ’ ช่างไม่รู้จักยางอายเสียเลย อวี๋ชิงจยากำลังโอ้อวดอย่างนั้นหรือ!
เสียดายที่อวี๋ชิงจยาไม่รู้เลยว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ควรหยุดแต่พอประมาณ’ นางเผยท่าทางเป็นกังวล แล้วถอนหายใจกล่าว “ที่จริงแล้วข้าไม่อยากบรรเลงเพลงฉางหงออกมาหรอก ใครจะรู้ว่าพี่หญิงสี่อยากช่วยข้าให้ได้แสดงฝีมือ จริงสิ ที่ข้ามีชื่อเสียงในวันนี้ได้ต้องขอบคุณพี่หญิงสี่เป็นอย่างมาก”
อวี๋ชิงหย่าฟังแล้วสีหน้าคล้ำทะมึน นางย่อมเข้าใจความหมายของอวี๋ชิงจยา หากอวี๋ชิงจยาแค่เล่นพิณ ก็ใช่ว่าจะเป็นที่พูดถึงในวันนี้ได้ ต้องขอบคุณมากที่อวี๋ชิงหย่าสร้างเรื่องน่าขันว่า ‘ฟังผ่านหูไม่ลืมเลือน’ ก่อน และเอาชนะการเล่นพิณสองครั้งติด สร้างบรรยากาศอันยิ่งใหญ่ ผลกลับกลายเป็นทำชุดแต่งงานให้อวี๋ชิงจยา อวี๋ชิงหย่ารู้สึกว่าเรื่องนี้เหมือนเป็นของบางอย่างที่ติดอยู่ในลำคอ ที่ผ่านมานางไม่ยอมให้ผู้อื่นพูดถึงมัน และไม่อยากไปคิดถึงมันด้วย แต่เวลานี้อวี๋ชิงจยากลับพูดออกมาต่อหน้านางด้วยรอยยิ้ม
ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือขณะที่กล่าวคำเช่นนี้ อวี๋ชิงจยายังยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวี๋ชิงหย่าโกรธไม่น้อย นางคิดในใจว่าควรให้คนข้างนอกเหล่านั้นเห็นท่าทางของอวี๋ชิงจยาในยามนี้จริงๆ เหตุใดเจ้าพวกคนตาบอดกลุ่มนั้นถึงคิดว่าอวี๋ชิงจยาเป็นคุณหนูน้อยผู้อ่อนโยนไร้พิษสง งดงาม และสดใสร่าเริงไปได้เล่า
ปลายเล็บของอวี๋ชิงหย่าค่อยๆ จิกเข้าไปในเนื้อ นางนึกถึงแผนการในวันนี้พลันแค่นเสียงหึทีหนึ่ง
การจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งพังพินาศ ก็ต้องทำให้ฝ่ายนั้นลำพองใจไปก่อน สุดท้ายชื่อเสียงอันดีงามของอวี๋ชิงจยาก็จะสิ้นสุดลงในวันนี้เท่านั้น
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 มิ.ย. 67