บทที่ 7 ทรยศ
ชิงโจวและเหยี่ยนโจวอยู่ห่างกันพันหลี่ ในเวลานี้ชิงโจวยังคงปกคลุมไปด้วยหมอกและฝน
ฝนตกปรอยๆ ข้างนอก อวี๋ชิงจยาเท้าคางมองดูฝน นอกหน้าต่างน้ำและดินมาบรรจบกัน หยาดฝนไหลลงจากหลังคาและร่วงหล่นบนพื้นอิฐสีนิล น้ำจำนวนมากกระเซ็นมารวมกันเป็นแอ่งน้ำตื้นๆ วันนี้ฝนตกกะทันหัน อาจารย์วิชาประวัติศาสตร์คงจะถูกฝนทำให้ล่าช้า ตอนนี้ยังมาไม่ถึง
อวี๋ชิงจยามองฝนอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง จึงพับกระดาษเป็นรูปต่างๆ เล่น ทันใดนั้นสายลมก็พัดเข้ามาจากหน้าต่างพร้อมกับละอองน้ำเปียกชื้น อวี๋ชิงจยาไม่ทันรู้สึกตัว ก้อนกระดาษในมือของนางก็ปลิวไปอีกด้านหนึ่ง
มู่หรงเหยียนคว้าก้อนกระดาษได้อย่างแม่นยำโดยไม่หันไปมอง เขาหยิบมาดูตรงหน้า พบว่าสิ่งที่ลอบโจมตีตนเป็นเพียงกระดาษก้อนหนึ่ง เขาพูดไม่ออกกับการกระทำของอวี๋ชิงจยาอย่างยิ่ง โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา เขาก็โยนมันกลับไป
ก้อนกระดาษถูกโยนใส่หน้าผากอวี๋ชิงจยาโดยไม่ทันตั้งตัว นางตกตะลึงชั่วขณะ ก่อนจะหยิบกระดาษข้างมือมาขยำเป็นก้อน แล้วออกแรงขว้างใส่มู่หรงเหยียน
ฝีมือการขว้างกระดาษขึ้นอยู่กับการใส่แรง บางครั้งยิ่งออกแรงมากยิ่งขว้างไม่ไกล กระดาษที่แฝงไว้ซึ่งโทสะทั้งหมดของอวี๋ชิงจยาลอยไปได้ครึ่งทางก็ร่วงตกลงพื้น มู่หรงเหยียนหันมามองอย่างคร้านจะปิดบังความดูถูกในแววตา
อันที่จริงเขาก็ไม่เคยปิดบังความรู้สึกอะไรอยู่แล้ว
อวี๋ชิงจยากัดฟันกรอด “เจ้าอย่าได้โอหังเกินไป เจ้าไม่กลัวข้าฟ้องท่านพ่อ ทำให้ต่อจากนี้เจ้ามีชีวิตที่ลำบากหรือ”
“ตามสบาย”
“เจ้า…เสียแรงที่วันนั้นข้าห่วงว่าเจ้าจะป่วยหรือไม่ ดูจากท่าทางเช่นนี้ เจ้ามันไม่รู้คุณคน”
มู่หรงเหยียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่กี่วันก่อนอวี๋ชิงจยาเหมือนแขนจะบาดเจ็บ เขาเหลือบมองด้วยหางตาก็เห็นแขนของนางพันด้วยผ้าขาวหลายชั้นดังคาด แผลแค่นี้ ไยต้องพันหนาปานนั้นด้วย
มู่หรงเหยียนเกิดมาเป็นคนไร้ความเห็นใจ ผู้อื่นเห็นทารกคนจนแล้วรู้สึกสงสาร แต่มู่หรงเหยียนไม่สงสาร ความยากจนข้นแค้น ความโดดเดี่ยวอ่อนแอ ความตาย ล้วนเป็นเรื่องของพวกเขา ไยต้องสงสารด้วย เช่นเดียวกัน อวี๋ชิงจยาได้รับบาดเจ็บเกี่ยวอะไรกับเขา
มู่หรงเหยียนนิ่งเงียบเย็นชา ไม่พูดจา
อวี๋ชิงจยาคร้านจะสนทนากับปีศาจจิ้งจอก นางมองม่านฝนอันกว้างใหญ่นอกหน้าต่างพลางกล่าวพึมพำ “ตั้งนานแล้วอาจารย์ก็ยังไม่มาอีก อย่าบอกนะว่าระหว่างทางเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
อวี๋ชิงจยาได้ยินเสียงหัวเราะที่เบาและแฝงด้วยความเยาะหยันมาจากข้างหลัง นางก็หันกลับมาอย่างไม่พอใจ “เจ้าหัวเราะเช่นนี้หมายความว่ากระไร เคยได้ยินความทั้งห้าหรือไม่ ฟ้า ดิน กษัตริย์ ญาติ อาจารย์เจ้าต้องเคารพอาจารย์”
“เคารพอาจารย์…” มู่หรงเหยียนย้ำคำสี่พยางค์นี้ช้าๆ เขามีรูปโฉมงดงามที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นเพศใด ขณะที่เขากล่าวเสียงเบา น้ำเสียงยังคงเย็นชาไร้ซึ่งความแยแส เขานึกถึงภาพงานเลี้ยงที่มีเสียงดนตรีดังไม่ขาดสาย ตระกูลสูงศักดิ์ที่โลภและฟุ่มเฟือยอย่างที่สุด ก่อนถึงคราวตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว หลังจากมู่หรงเหยียนกล่าวขึ้นมาก็หัวเราะเบาๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอดีตรัชทายาทตายอย่างไร”
“ถูกคนถ่อยฟ้องร้อง”
“ถูกใครฟ้องร้องนะ”
อวี๋ชิงจยาชะงักอึ้งกับคำถามของอีกฝ่าย นางฟังอวี๋เหวินจวิ้นด่าพวกขุนนางทรยศ พวกประจบสอพลอ พูดจายุยงปลุกปั่น ใส่ร้ายผู้ภักดีมีเมตตาอยู่ทุกวัน นางย่อมเข้าข้างอดีตรัชทายาทอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ อวี๋ชิงจยาก็ไม่รู้แน่ชัด