“จยาจยา” อวี๋เหวินจวิ้นคิดไม่ถึงว่าอวี๋ชิงจยาจะกล่าวเช่นนี้ เขาย่อมรู้ว่าฐานะของอนุภรรยาเมื่อเทียบกับทายาทแล้ว อนุภรรยานั้นต่ำต้อยมาก เหล่าขุนนางแม้จะมองการมอบอนุภรรยาให้ผู้อื่นเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่มีใครแต่งอนุภรรยาเป็นภรรยาเอก เมื่อพูดถึงการแต่งงาน ทุกคนก็ล้วนแต่งงานกับคุณหนูตระกูลขุนนางที่สมฐานะกัน ส่วนเรื่องการสืบทอดทายาทครอบครัว ปรนนิบัติบิดามารดา ดูแลงานเรือน มองว่าเป็นหน้าที่ของภรรยาเอก ไม่ใช่อนุภรรยา เนื่องจากอนุภรรยานั้นมีไว้เพื่อความสำราญ หากมีใครให้อนุภรรยามาดูแลงานเรือน เกรงว่าจะถูกตระกูลขุนนางระดับเดียวกันหัวเราะจนฟันร่วง
ทว่ามู่หรงเหยียนไม่ใช่อนุภรรยา เขาไม่ใช่สตรีด้วยซ้ำ อวี๋เหวินจวิ้นไม่รู้ว่าควรอธิบายเรื่องนี้อย่างไร เขาลองปลอบบุตรสาว “เรื่องที่เจ้าพูดพ่อรู้หมดแล้ว พ่อรู้ว่าควรจัดการอย่างไร เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว”
คำพูดนี้ออกจะดูแก้ตัวให้ผ่านๆ ไปสักหน่อย ไม่อาจหลอกอวี๋ชิงจยาให้เชื่อได้
อวี๋ชิงจยาดวงตาทั้งดำและเป็นประกาย เนื่องจากความโกรธ จึงทำให้ทั่วทั้งดวงหน้าของนางดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา งามเจิดจ้าจนไม่อาจมองใกล้ๆ
มู่หรงเหยียนรู้สึกว่าเหตุการณ์ตรงหน้ารื่นเริงดี ก่อนหน้านี้เขาจึงยืนดูละครอยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มจางๆ อยู่ตลอด ทว่าในยามนี้มู่หรงเหยียนพลันพบว่าบุตรสาวสกุลอวี๋ผู้นี้งดงามมากจริงๆ เส้นผมดำขลับ คิ้วตาน่าหลงใหล ริมฝีปากแดงสดเนียนละเอียด เงางามดุจโลหิตถูกเคลือบเงาวาวหนึ่งชั้น หญิงงามเช่นนี้ทำให้บุรุษเกิดความปรารถนาที่จะครอบครองและปรารถนาที่จะทำลายได้ง่ายที่สุด
ดวงตาของอวี๋ชิงจยาแทบลุกเป็นไฟ นางชี้หน้ามู่หรงเหยียน สองตาจ้องมองอวี๋เหวินจวิ้นในระยะประชิด “ตั้งแต่ที่นางมา ท่านก็เอาแต่ทำเรื่องแปลกๆ เดิมข้าคิดว่าท่านพ่อจะรู้ขอบเขต แต่ตอนนี้แม้แต่หลักการท่านก็ไม่สนแล้ว ในใจท่านนางสำคัญกว่าบุตรสาวอย่างข้าใช่หรือไม่”
มู่หรงเหยียนถูกคนชี้หน้าก็ไม่รู้สึกโกรธ เขาเพียงปรายตามองอวี๋เหวินจวิ้นด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม รอฟังคำตอบของอวี๋เหวินจวิ้นราวกับดูละครสนุกเรื่องหนึ่ง
อวี๋เหวินจวิ้นมองบุตรสาวที่ถูกประคบประหงมราวกับสมบัติล้ำค่ามาตั้งแต่เด็ก แล้วมองหลางหยาอ๋องซึ่งยกยิ้มมุมปากอย่างไม่อาจทราบความหมาย เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกปวดหัวตุบๆ ชีวิตช่างยากเหลือทนจริงๆ
ข้าทำอะไรผิด เหตุใดข้าต้องเลือกเช่นนี้ด้วย
อวี๋ชิงจยาจ้องมองบิดาไม่หยุด อยากรู้ว่าในใจบิดาใครสำคัญกว่า เหมือนกับบุตรสาวทุกคนที่เสียมารดาแล้วบิดาพาคนใหม่กลับมา
อวี๋เหวินจวิ้นลอบมองมู่หรงเหยียน พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้ม ราวกับชมเรื่องรื่นเริงบางอย่าง อวี๋เหวินจวิ้นปวดหัวอย่างยิ่ง คนหนึ่งคือบุตรสาวสุดที่รัก อีกคนหนึ่งคือนายน้อยที่ต้องภักดีในวันหน้า แล้วเขาต้องเลือกอย่างไร
อวี๋เหวินจวิ้นพยายามพูดเอาตัวรอด “จยาจยา เจ้ากับจิ่งหวนไม่เหมือนกัน พวกเจ้าสองคนเทียบกันไม่ได้”
อวี๋เหวินจวิ้นเจตนาที่แท้จริงคือบุตรสาวกับฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องมีความสำคัญแตกต่างกัน จะนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่เมื่ออวี๋ชิงจยาได้ยินคำพูดนี้แล้ว ความหมายของคำพูดก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อวี๋ชิงจยากะพริบตา ดวงตาสีดำเต็มไปด้วยน้ำแวววาวทันที “คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะเลือกนาง ท่านพ่อเข้าข้างนาง!”
หลังจากอวี๋ชิงจยาพูดจบก็หันหลังแล้ววิ่งไปทันที
มู่หรงเหยียนทนต่อไปไม่ไหว ก้มศีรษะแล้วหัวเราะออกมา
นี่คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาได้หัวเราะออกมาจากใจจริง นับแต่หนีรอดจากความตายมาเมื่อสองปีก่อน
เมื่อครู่นี้มู่หรงเหยียนมาหารือกับอวี๋เหวินจวิ้น ตอนที่อวี๋ชิงจยาปรากฏตัวธุระก็คุยเสร็จเกือบหมดแล้ว หลังจากอวี๋ชิงจยาเข้ามาขัดบทสนทนา ทั้งสองคนก็ไม่มีอารมณ์จะคุยเรื่องสำคัญต่อ ถึงอย่างนั้นมู่หรงเหยียนก็ยังอารมณ์ดีอย่างหาได้ยาก
มู่หรงเหยียนเดินไปยังเรือนของตนอย่างไม่เร็วไม่ช้า ขณะที่จะก้าวขึ้นระเบียงทางเดินที่ต้องผ่านทางกลับเรือน ฝีเท้าของเขาก็หยุดลง
บนระเบียงทางเดินอันคดเคี้ยว มีสตรีนางหนึ่งยืนหันหลังให้เขา
มู่หรงเหยียนพบว่าตนยิ้มโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว เขาเดินขึ้นระเบียงทางเดินราวกับมองไม่เห็นเงาร่างของคนผู้นั้น เขาอยากรู้นักว่า ‘บุตรสาวภรรยาเอก’ ผู้นี้คิดจะมาลูกไม้ใดกัน
เป็นเช่นที่คาดไว้ ขณะที่คนทั้งสองเดินเฉียดไหล่ผ่านไป เสียงเย็นชาของอวี๋ชิงจยาก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “หยุดนะ”