อวี๋ชิงจยากำลังเดินอย่างไร้จุดหมาย นางเห็นดอกไม้กิ่งหนึ่งถูกลมพัดตกลงมาข้างทางจึงหยุดฝีเท้าแล้วหยิบดอกไม้ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดโคลนบนกลีบดอกไม้ นางโน้มตัวมองดอกไม้อย่างใจจดใจจ่อ ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ก็เกิดเอะใจอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นมอง
มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพุ่มดอกไม้ กำลังมองดูนางอยู่เงียบๆ
อวี๋ชิงจยาเห็นอีกฝ่ายแล้วตกตะลึงอย่างยิ่ง ก่อนจะจำได้อย่างไม่กล้าเชื่อสายตาว่าคนผู้นั้นคือมู่หรงเหยียน
เขารวบผมยาวด้วยเกี้ยว บนร่างสวมชุดผ้าแพร แขนเสื้อแคบ ดูมีระเบียบเรียบร้อย เผยใบหน้าด้านข้างที่เห็นขอบมุมชัดเจนและรูปร่างที่เพรียวบางแต่ทรงพลัง ทั่วทั้งร่างของเขาราวกับมีดที่งดงามล้ำค่าเล่มหนึ่ง แม้อยู่ห่างไกลก็สามารถสัมผัสได้ถึงความแหลมคมอันน่าหวาดเกรง
อวี๋ชิงจยาตะลึงงันเป็นเวลานาน นางเคยคิดในใจว่ามู่หรงเหยียนกลับมาสวมชุดบุรุษแล้วจะเป็นอย่างไร นางเคยคิดว่าเมื่อไรมู่หรงเหยียนถึงจะไร้ความกังวล แต่อวี๋ชิงจยากลับคาดไม่ถึงว่าตนเองจะได้เห็นภาพที่ยากจะลืมเลือนไปตลอดชีวิตในเช้าตรู่ที่มีน้ำค้างลงจัดเช่นนี้
มู่หรงเหยียนนั้นหน้าตาหล่อเหลาอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อนานมาแล้วอวี๋ชิงจยาเอาแต่เรียกเขาด้วยความโกรธว่า ‘ปีศาจจิ้งจอก’ มาโดยตลอด แต่ตอนนี้นางเพิ่งรู้ว่าที่แท้แล้วเครื่องชุดหลวมๆ ที่คล้ายหญิงคล้ายชายนั้นบดบังเสน่ห์อันน่าดึงดูดของเขามาโดยตลอด ความน่าดึงดูดเช่นนี้ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตา แต่เป็นบุคลิกลักษณะอันสูงส่งที่ส่งตรงถึงใจคน
มู่หรงเหยียนไม่รู้ว่ามองอยู่ตรงนั้นนานเพียงใดแล้ว เขาเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ยื่นมือไปแตะใบหน้าด้านข้างของอวี๋ชิงจยา แล้วปาดโคลนออกจากหน้าของนาง หลังจากเช็ดโคลนจนสะอาดเขาก็ยังไม่ดึงมือกลับไป ยังคงอยู่ข้างใบหน้าของนางและจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง
อวี๋ชิงจยาเพิ่งรู้ว่าใบหน้าของตนเปื้อนโคลน นางรู้สึกกระอักกระอ่วนมาก จากนั้นก็ค่อยๆ พบว่าสีหน้าท่าทางของมู่หรงเหยียนดูไม่ค่อยปกติ
เหตุใดเขาถึงมองนางด้วยสายตาเช่นนี้
มือของมู่หรงเหยียนเย็นยิ่งกว่าน้ำค้างในยามเช้าตรู่ อวี๋ชิงจยาถามเสียงเบา “เจ้าเป็นอะไร เหตุใดมือถึงได้เย็นถึงเพียงนี้”
มู่หรงเหยียนไม่ตอบ นางคิดจะช่วยอุ่นมือให้เขา แต่ถูกมืออีกข้างหนึ่งของเขาจับไว้แทน “อย่าขยับ ข้าอยากดูว่าเจ้าใช่ตัวจริงหรือไม่”
อวี๋ชิงจยาถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโหและขบขันในคราวเดียวกัน “ถ้าข้าไม่ใช่ตัวจริง ยังจะเป็นตัวปลอมได้อีกหรือ มือของเจ้าเย็นมากเลย เมื่อคืนนี้เป็นหวัดหรือ” อวี๋ชิงจยานำมือของมู่หรงเหยียนมาวางไว้ใกล้หน้าแล้วพ่นลมร้อนๆ ใช้ฝ่ามือช่วยมอบความอบอุ่นให้เขา อวี๋ชิงจยาเงยหน้ามองมู่หรงเหยียนทีหนึ่ง พลันรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้า…เหตุใดเจ้าจู่ๆ ก็…”
อวี๋ชิงจยายังถามไม่จบ แต่คนทั้งสองต่างรู้ความนัยที่เหลือ จู่ๆ มู่หรงเหยียนก็กลับมาสวมชุดบุรุษเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเขาไม่จำเป็นต้องปิดบังแล้วใช่หรือไม่
“ตอนนี้โอกาสยังมาไม่ถึง” มู่หรงเหยียนไม่ใส่ใจอย่างยิ่ง “แต่ก็อีกไม่นานแล้ว เรื่องต่อจากนี้ใช่ว่าปกปิดแล้วจะทำสำเร็จได้ ดังนั้นไม่มีความแตกต่างไม่ว่าจะเปิดเผยสถานะหรือไม่ก็ตาม”
อวี๋ชิงจยายังอยากจะถามบางอย่างจากเขา แต่พอคำพูดเกือบออกจากปากไปก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอบอุ่น นางยกมือของมู่หรงเหยียนขึ้นและเขย่าพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าขอพรในวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว ปีนี้เจ้าจะราบรื่นตลอดปี”
ในที่สุดมู่หรงเหยียนก็เผยรอยยิ้ม เขามองดูอวี๋ชิงจยาที่สดใสและมีชีวิตชีวาตรงหน้า นางในตอนนี้ทั้งรู้จักยิ้มให้เขาและออดอ้อนเขา แล้วก็หวนนึกถึงความฝันเมื่อคืนอีกครั้งโดยไม่คาดคิด
อวี๋ชิงจยาพูดจบพลันรู้สึกว่ามู่หรงเหยียนจับมือของนางไว้แน่นมาก นางตกใจ มองสีหน้าท่าทางของมู่หรงเหยียนอย่างละเอียด “วันนี้เจ้าเป็นอะไรกันแน่”
อวี๋ชิงจยามองดวงตาของมู่หรงเหยียนอย่างระมัดระวัง พยายามเสาะหาเบาะแสบางอย่าง นางเห็นม่านตาของมู่หรงเหยียนทั้งดำและมืดมน ภายในนั้นส่องสะท้อนเงาร่างของตนอย่างชัดเจน และนางเห็นดวงตาคู่นี้ค่อยๆ เคลื่อนไป โดยมองผ่านนางไปยังทิศทางอื่น
อวี๋ชิงจยาหันกลับไปตามสายตาของมู่หรงเหยียน และเห็นอวี๋เหวินจวิ้นยืนอยู่ด้านหลังราวระเบียง
อวี๋เหวินจวิ้นเห็นฝ่ามือของมู่หรงเหยียนที่จับใบหน้าด้านข้างของอวี๋ชิงจยา ก่อนจะเหลือบไปเห็นมือของคนทั้งสองที่จับกันแน่น อวี๋เหวินจวิ้นสูดหายใจลึก พยายามกล่าวอย่างสงบ “จยาจยา เจ้ากลับไปก่อน พ่อมีเรื่องจะพูดกับเขา”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ส.ค. 67