นางจับไม้ฉลุลายหน้าต่างด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งยื่นไปรองน้ำฝนนอกหน้าต่างพลางกล่าวพึมพำ “ลมพัดแล้ว”
อิ๋นจูวิ่งกลับมาจากข้างนอกอย่างรวดเร็ว เมื่อวิ่งไปถึงใต้ชายคาก็สะบัดคราบน้ำบนร่างกายออกพลางกล่าว “อากาศเดือนหกบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน เมื่อครู่นี้ยังดีๆ อยู่ จู่ๆ ก็มีฝนตกลงมาเสียแล้ว”
ไป๋จื่อยกชาร้อนเข้ามา นางเห็นอวี๋ชิงจยายืนอยู่ริมหน้าต่างและกำลังยื่นมือไปรับน้ำฝนที่นอกห้องจึงรีบเรียก “คุณหนู ฝนตกอากาศเย็น ระวังท่านจะเป็นหวัดเอานะเจ้าคะ”
อวี๋ชิงจยาดึงมือกลับมา ไป๋จื่อรีบปิดหน้าต่าง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดนิ้วมือให้ผู้เป็นนาย “อากาศวันนี้หนาวจริงๆ พอลมพัดฝนก็ตามมา ตำราของคุณหนูไม่ได้เปียกน้ำใช่หรือไม่เจ้าคะ”
อวี๋ชิงจยาส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”
ข้างนอกฝนตกหนักและมีลมแรง เหล่าสาวใช้ออกไปทำงานไม่ได้ ทำได้เพียงยกเทียนเข้ามารวมตัวกันอยู่ในห้องของอวี๋ชิงจยาเพื่อทำงานเย็บปักถักร้อยพลางพูดคุยกัน ไป๋จื่อพันด้ายในมือพลางกล่าว “ใกล้จะถึงเทศกาลอวี๋หลันเผินแล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าปีนี้นายท่านวางแผนไว้อย่างไร”
อวี๋ชิงจยากล่าว “ปีที่แล้วพวกเราอยู่ที่ชิงโจว โลงศพของท่านแม่ไม่ได้อยู่ข้างตัวจึงได้แต่เผาใบส่งวิญญาณอย่างลวกๆ ปีนี้พวกเรากลับมาถึงบ้านเกิด ไม่มีทางทำลวกๆ เหมือนปีที่แล้วแน่”
“คุณหนูพูดถูกเจ้าค่ะ” ไป๋จื่อกล่าว “อีกอย่างปีนี้นายท่านพาคุณหนูย้ายออกจากสกุลอวี๋ เรื่องดีเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องบอกฮูหยิน ฮูหยินจะได้สบายใจเจ้าค่ะ”
ไป๋จีครุ่นคิดบางอย่างแล้วกล่าวขึ้น “เขาเซียงจีจะจัดชุมนุมพระธรรมขึ้นในเทศกาลอวี๋หลันเผิน ดำเนินต่อเนื่องเจ็ดวัน มิสู้คุณหนูขึ้นเขาไปเติมน้ำมันตะเกียงให้ฮูหยิน แล้วถวายตะเกียงดวงใหม่ดีหรือไม่เจ้าคะ”
ศาสนาพุทธได้รับความนิยมในราชวงศ์เหนือ เทศกาลอวี๋หลันเผินเป็นวันสำคัญในการไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ วัดหลายแห่งจะจัดชุมนุมพระธรรมอวี๋หลันเผิน ขจัดเคราะห์ภัยให้ผู้วายชนม์ ช่วยให้พ้นทุกข์จากภพภูมิทั้งหกพิธีกรรมที่เขาเซียงจีนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด อวี๋ชิงจยาหารือในรายละเอียดบางส่วนกับพวกไป๋จื่อและกล่าวว่า “วันที่สิบห้าจะต้องมีคนบนเขาเซียงจีมากแน่ พวกเราไม่จำเป็นต้องไปเบียดเสียดกับพวกเขา มิสู้ขึ้นเขาไปเร็วหน่อย ถวายตะเกียงนิรันดร์ให้ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าจะไปคุยกับท่านพ่อ พวกเราจะออกเดินทางกันในวันที่สิบเอ็ด”
พวกไป๋จื่อต่างก็ขานรับ อวี๋เหวินจวิ้นก็คิดถึงอวี๋ซื่อเช่นกัน แต่วันที่สิบเอ็ดเขาไม่อาจปลีกตัวไปที่ใดได้ จำต้องให้อวี๋ชิงจยาพาคนไปมากหน่อย แล้วกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้นางเดินทางระมัดระวัง อวี๋ชิงจยามักออกไปข้างนอกคนเดียวเป็นประจำอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการไปไหว้พระที่เขาเซียงจีในครั้งนี้มีผู้คนสัญจรไปมาในแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ ไม่มีอะไรให้น่ากังวลจริงๆ
นางออกไปข้างนอกแต่เช้าตรู่ พาสาวใช้นั่งรถม้าไปที่เขาเซียงจี
เดือนเจ็ดเป็นเดือนผี ทุกคนจะไหว้บรรพบุรุษในวันที่สิบห้า มู่หรงเหยียนบิดามารดาตายไปแล้วทั้งคู่ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่มีอยู่ในข้อยกเว้น ก่อนที่อวี๋ชิงจยาจะออกไปได้ถามมู่หรงเหยียนหลายครั้งว่าอยากไปด้วยกันหรือไม่ แต่สุดท้ายนางก็ยอมแพ้ไป
ไม่รู้ว่าอวี๋เหวินจวิ้นพูดอะไรกับมู่หรงเหยียน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจู่ๆ มู่หรงเหยียนก็ห่างเหินกับนาง แน่นอนว่าพวกไป๋จื่อบอกว่าอวี๋เหวินจวิ้นเชิญอาจารย์มาให้มู่หรงเหยียน หลายวันมานี้เขายุ่งอยู่กับการเรียนจึงไม่มีเวลาออกไปข้างนอก แต่อวี๋ชิงจยารู้ว่าไม่ได้เป็นเพราะเขายุ่งหรอก…มู่หรงเหยียนเจตนาห่างเหินนางเอง
อวี๋ชิงจยาคุกเข่าอยู่บนที่นั่ง นางเงยหน้ามองพระพุทธรูปที่หน้าตาดูเคร่งขรึม สายตาเศร้าโศก และอธิษฐานในใจเงียบๆ ท่านแม่ ปีนี้ในที่สุดพวกเราก็ย้ายออกจากสกุลอวี๋แล้วเจ้าค่ะ แม้ว่าตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จะไม่เคยพูด แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบสถานที่แห่งนั้นมาก ตอนนี้ในที่สุดพวกเราก็ห่างไกลจากผู้คนและเรื่องราวเหล่านั้นเสียที แต่ท่านกลับไม่อยู่แล้ว…
ท่านแม่ ปีนี้ข้าอายุสิบห้าปีแล้ว ท่านไปจากข้าได้ห้าปีเต็ม ตอนเด็กท่านมักจะหวีผมให้ข้าไปพลางคาดเดารูปร่างหน้าตาตอนโตของข้าไปพลาง ตอนนี้ในที่สุดข้าก็โตแล้ว หลายคนบอกว่าข้าเหมือนท่าน แต่ข้าจำไม่ได้กระทั่งหน้าตาของท่านแล้ว ในดวงตาของอวี๋ชิงจยาเผยความโศกเศร้าออกมา นางกราบพระพุทธรูปอย่างลึกซึ้ง หน้าผากแตะพื้นพลางกล่าวเสียงเบา “ท่านแม่ ท่านอยู่ยมโลกคนเดียวต้องรักษาตัวให้ดีนะเจ้าคะ ชาติหน้าขอให้ท่านมีชีวิตสงบสุข ไม่ต้องทุกข์เพราะการแต่งงานอีก ข้ารับปากท่านว่าจะดูแลตนเองให้ดี อากาศหนาวก็จะสวมเสื้อผ้า ฝนตกก็จะกางร่ม ข้าพบคนคนหนึ่ง เขา…”
อวี๋ชิงจยาขยับริมฝีปาก สุดท้ายก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม กล่าวต่อว่า “ช่างเถอะ ไม่มีอะไรน่าพูดถึง ไม่พูดให้ท่านแม่หัวเราะแล้ว”
นางกราบอย่างจริงใจสามครั้งแล้วค่อยๆ ยืนขึ้น มองพระพุทธรูปอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะออกจากอุโบสถ
เมื่อเดินออกจากอุโบสถ แสงแดดพลันส่องลงบนร่าง อวี๋ชิงจยายกมือขึ้นมาบังดวงตาตามสัญชาตญาณ ภายในอุโบสถอบอวลไปด้วยควันธูป ดูสง่าและเคร่งขรึม ส่วนภายนอกมีแสงแดดสดใส ผู้คนสัญจรไปมา ฉับพลันอวี๋ชิงจยาก็เกิดความรู้สึกขัดแย้งภายในใจเล็กน้อย
นางยืนอยู่ตรงประตูอุโบสถอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าวันนี้คือวันใดไปชั่วขณะ มีเณรรูปหนึ่งเดินมาจากด้านข้าง ประนมมือให้อวี๋ชิงจยา “สีกา ท่านตามหาสาวใช้ของท่านอยู่ใช่หรือไม่”
อวี๋ชิงจยาได้สติกลับมา นางกล่าวว่า “ใช่เจ้าค่ะ สาวใช้ของข้าควรจะรอข้าอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปที่ใดแล้ว”
เณรกล่าว “สีกาเหล่านั้นนั่งอยู่ที่อุโบสถข้างชั่วคราว เพียงแต่เมื่อครู่ท่านจดจ่ออยู่กับการไหว้พระจึงไม่ได้อยู่รบกวน เชิญสีกาตามอาตมามา”