ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน
ทดลองอ่าน ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน บทที่ 130-131
บทที่ 130 จวิ้นอ๋อง
แก้มของฮ่องเต้เกร็งและมีอาการกระตุกอยู่เป็นครั้งคราว เขาลุกขึ้นจากบัลลังก์ ชี้ไปที่มู่หรงเหยียนแล้วกล่าว “เป็นเจ้านี่เอง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่”
“ใช่ ข้ายังมีชีวิตอยู่” ใบหน้าด้านข้างของมู่หรงเหยียนมีเลือดเปื้อนอยู่จางๆ ชุดเกราะสีเงินยวงมีเลือดสีแดงเปื้อนไปกว่าครึ่ง เขาเดินเข้าไปในตำหนักอย่างไม่เร็วไม่ช้า ถึงแม้เขาจะมีใบหน้าโดดเด่น ทว่ายามนี้ทั่วร่างกลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ทุกการเยื้องย่างคล้ายแผ่จิตสังหารออกมา สายตาแฝงไว้ด้วยความไม่แยแสและความแน่วแน่อันบ้าคลั่งอยู่รางๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูที่สังหารบิดาแล้ว มู่หรงเหยียนยังคงรักษาความสงบสุขุมเอาไว้ได้ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนสง่างาม “เสด็จอารอง การที่ไม่ได้ข้าฆ่าให้ตายเมื่อห้าปีก่อนถือเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของท่าน”
ฮ่องเต้จ้องมองมู่หรงเหยียนเขม็ง และยกมุมปากอย่างเย็นชา “หลานชายคนดี เราคิดว่าเจ้าจะไม่ยอมเรียกเราว่า ‘เสด็จอารอง’ แล้วเสียอีก”
“ข้าไม่อยากเรียกจริงๆ” มู่หรงเหยียนพูดอย่างสงบ น้ำเสียงราวกับกำลังบอกว่าพรุ่งนี้จะมีฝนตกอย่างไรอย่างนั้น “แต่เพราะท่านไม่มีบุตรชายเยาว์วัยพอให้ข้าควบคุม ข้าจึงต้องปล่อยให้ท่านมีชีวิตอยู่มาสักระยะ หากเรียกท่านด้วยคำที่ตรงไปตรงมาเกินไปจะไม่ส่งผลดีต่อการกระทำต่อจากนี้ของข้า ถึงอย่างไรก็เป็นแค่คำเรียกที่แตกต่างกัน ตราบใดที่ได้อำนาจมา จะเรียกอะไรก็ไม่สำคัญแล้ว เสด็จอารองคิดอย่างไร”
มู่หรงเหยียนไม่ปิดบังแผนการของตนเองแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้โกรธจนกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก และกล่าวด้วยน้ำเสียงอำมหิต “เจ้าเด็กบ้าบิ่น! มีแต่พวกโง่เขลาถึงไร้ความกลัว คนที่เจ้าเคยเจอมาก่อนหน้านี้ยังไม่ได้สักเสี้ยวหนึ่งของเราด้วยซ้ำ คิดว่าคนอย่างเจ้าจะเล่นงานเราได้จริงๆ หรือ ตอนนี้เจ้าแค่ชนะเพียงชั่วครู่ชั่วยามก็กล้าโอหังถึงเพียงนี้แล้ว? ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเจ้า เห็นทีคงยากจะทำการใหญ่สำเร็จได้”
วาจาของฮ่องเต้นั้นดูถูกเหยียดหยามมู่หรงเหยียนอย่างยิ่ง ทหารหลายนายที่ติดตามมาตีเมืองได้ยินแล้วต่างก็รู้สึกโกรธแทน ทว่ามู่หรงเหยียนกลับไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังหัวเราะออกมา “เสด็จอารองพูดไม่ผิด ข้าอายุไม่มากเท่าท่านจริงๆ โชคดีที่ยังเป็นคนหนุ่ม ข้าคงจะอยู่ได้นานกว่าเสด็จอารองหลายปี…แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
เมื่อถูกพูดต่อหน้าว่ามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ฮ่องเต้ก็โกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ที่ข้างเท้าของเขาคืออิ่นอี้คุนที่หมอบคู้อยู่ ใบหน้าอีกฝ่ายบวมช้ำและมีน้ำตานอง ฮ่องเต้จ้องมองมู่หรงเหยียนอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่พูดจา
มู่หรงเหยียนเดินวนในตำหนักอย่างช้าๆ ก่อนจะหันไปมองฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้พบกันตั้งหลายปี เสด็จอารองดูสุขุมขึ้นมาก ท่านเจตนายั่วโทสะข้า แต่พอข้าพูดแล้ว ท่านกลับไม่โต้แย้งอะไรเลย เห็นทีท่านคงมั่นใจในทัพเสริมที่จิ้นหยางมากกระมัง”
ฮ่องเต้ตกตะลึงอย่างยิ่ง เมื่อวานนี้เขาส่งคำสั่งลับไปที่จิ้นหยางให้เคลื่อนย้ายกองทัพ เมื่อคำนวณเวลาดู ตอนนี้คำสั่งลับน่าจะใกล้ไปถึงแล้ว จิ้นหยางมีกำลังทหารอันแข็งแกร่งแปดหมื่นนาย เป็นไปไม่ได้ที่มู่หรงเหยียนจะต้านทานกองกำลังใหญ่นั้นด้วยไพร่พลแค่สามหมื่นนาย ดังนั้นฮ่องเต้จึงแสร้งพูดเรื่องอื่นเพื่อถ่วงเวลาไว้ นี่คือไพ่ตายของเขา แต่เขาคาดไม่ถึงว่าจะถูกมู่หรงเหยียนเปิดโปง “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ข้าไม่ใช่แค่รู้…” มู่หรงเหยียนโบกมือ แล้วกล่าวกับคนที่อยู่ข้างหลังว่า “ทหาร นำจดหมายลายพระหัตถ์ของฝ่าบาทมา”
ฮ่องเต้มองดูคำสั่งลับของตนถูกส่งกลับมาในสภาพเดิม มุมปากของเขากระตุกริกๆ ก่อนจะข่มกลั้นความโกรธไม่ไหวอีกต่อไป “มู่หรงเหยียน! เจ้า…”
แค่เพียงชั่วพริบตาเดียวฮ่องเต้ก็ฉุกคิดถึงบางสิ่ง และกล่าวออกมาด้วยสีหน้ากระจ่างแจ้ง “ใช่แล้ว เกิ่งตี๋ มิน่าเจ้าถึงกล้าล้อมตีเมืองเยี่ยเฉิงด้วยกำลังสามหมื่นนาย ที่แท้ทัพใหญ่สิบหมื่นในแนวรบตะวันตกก็ถูกเจ้ายึดเอาไว้แล้ว”
จิ้นหยางเทียบเท่ากับเมืองหลวงรอง มีทหารรักษาการณ์ที่แข็งแกร่ง รับผิดชอบในการปกป้องเมืองหลวง เมื่อเกี่ยวโยงถึงกองทัพของเกิ่งตี๋ จิ้นหยางก็กล้าส่งกำลังพลไปรบโดยง่าย แต่จิ้นหยางถือเป็นภัยคุกคามในการยึดบัลลังก์มาโดยตลอด หากไม่สามารถกำจัดจิ้นหยางลงได้ ต่อให้ฝืนตีเมืองเยี่ยเฉิงไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นมู่หรงเหยียนจึงต้องมีข้ออ้างที่น่าฟัง เช่นกำจัดคนทรยศข้างพระวรกายฝ่าบาท
สีหน้าของฮ่องเต้ดูไม่ได้อย่างยิ่ง มู่หรงเหยียนมองแผนของฮ่องเต้ออกตั้งแต่แรก ซ้ำยังดักคำสั่งลับของเขาไว้ โอกาสที่จะพลิกกระดานของฮ่องเต้จึงหมดสิ้นโดยสมบูรณ์ เมื่อฮ่องเต้นึกถึงสิ่งนี้ก็ฉีกความสัมพันธ์อาหลานลงโดยสิ้นเชิง แล้วมองไปที่มู่หรงเหยียนอย่างชั่วร้าย “เราดูแคลนเจ้าเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีคนหักหลังเราในที่ลับอยู่ไม่น้อย ขุนนางจอมปลอมพวกนี้ เราควรฆ่าพวกเขาเสียให้หมดตั้งแต่แรก มู่หรงเหยียน เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไป วันนี้พวกเขาหักหลังเราได้ พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะหักหลังเจ้าหรือไม่ วันนี้คือตาเรา พรุ่งนี้คือตาเจ้า”
“ขอบคุณเสด็จอารองที่ตักเตือน” มู่หรงเหยียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย คล้ายจะยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เสด็จอารองเป็นกังวลหรอก ตั้งแต่ที่เสด็จอารองขึ้นครองราชย์ก็ประพฤติตนขัดกับหลักคุณธรรมเรื่อยมา ความไม่พอใจของราษฎรท่วมท้น คาดว่าคงถูกขุนนางโฉดและคนถ่อยหลอกลวง เสด็จอารองถึงได้กระทำเรื่องเช่นนี้ขึ้น ขุนนางหลายคนไหว้วานข้ามาบอกเสด็จอารองว่าวอนเสด็จอารองโปรดขุนนางปราชญ์ ห่างไกลคนถ่อย เพื่อมองเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงด้วย”
ฮ่องเต้มองมายังมู่หรงเหยียนที่อยู่เบื้องล่างอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “เสแสร้ง! เจ้าวางยาพิษในสุราของเรา ตอนนี้ยังแสร้งทำตัวเป็นหลานชายผู้มีคุณธรรมและความกตัญญูอีก เจ้าก็เหมือนกับบิดาไร้ประโยชน์ของเจ้า ตนเองไร้ความสามารถ เอาแต่ใช้ชื่อเสียงดีงามมาอำพรางความอับอายของตนเอง ช่างน่าขันสิ้นดี!”