ซีกวงโบกมือเสกแส้ยาวเส้นหนึ่งขึ้นมาพลางหวดใส่ฉยงฉีประดุจงูปราดเปรียว สิ้นเสียงขวับก็กวาดส่งมันจากธารน้ำฟากนี้ไปยังฝั่งตรงข้ามโน่นแล้ว
ฉยงฉีร้องครางด้วยความเจ็บปวด หมายจะผลุบกลับลงน้ำไป แต่ก็ถูกอีกหนึ่งแส้หวดจนร่างกระเด็นออกห่างจากริมน้ำเสียก่อน
เฟิงจงเห็นเช่นนั้นจึงรีบสั่งการเซวียนชิงให้ขึ้นหน้าไปร่วมโจมตีฉยงฉี อันที่จริงก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรนักหรอก นางหวังเพียงจะหน่วงเหนี่ยวฉยงฉีไม่ให้มันหนีลงน้ำไปก่อนเท่านั้น จะได้ให้ชายหนุ่มชุดสีดำผู้นี้กำจัดมันเสีย
ซีกวงหันไปมองนาง “ใต้น้ำนี้ต้องมีอะไรบางอย่างผลักดันดวงวิญญาณของมันอยู่เป็นแน่ หากคิดจะกำจัดมันก็ต้องกระชากสิ่งที่อยู่ข้างใต้นั้นออกมาก่อน”
เฟิงจงคลี่ยิ้มอันอ่อนโยนดุจสายลมวสันต์ “ที่มหาเทพหนี่ว์วาให้เจ้ามาพบข้า ก็เพื่อให้เจ้าช่วยข้ากำราบสัตว์อสูรตัวนี้เป็นแน่แท้ เช่นนี้ก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
ซีกวงเลิกคิ้ว…เจ้าก็ช่างไหลตามน้ำได้เก่งเสียจริง
แท้จริงแล้วช่วงที่ผ่านมาเฟิงจงใช้ชีวิตอย่างยากลำบากทีเดียว หุ่นเวทที่ปราศจากสติรับรู้นี้อาจประสบเภทภัยได้ทุกเมื่อ นางจึงต้องให้เขาคอยอยู่ข้างกายแทบจะทุกที่ทุกเวลา
แรกเริ่มนางประคบประหงมหุ่นเวททุกอย่าง ถึงอย่างไรที่เขาต้องมาลงเอยในสภาพนี้ก็เพื่อจะช่วยชีวิตนาง นางไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงอันตรายอีกจึงไม่เคยสั่งงานเขาอีกเลย ทุกครั้งไม่ว่าไปที่ใด หรือขณะที่นางกำลังยุ่งอยู่กับงาน เขาก็เพียงแต่ยืนทึ่มทื่ออยู่ด้านข้างเฉกเช่นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง
ทว่าเช่นนี้กลับทำให้ใจนางยิ่งทนรับไม่ไหว ด้วยเหตุนี้นางจึงเริ่มให้เขาทำงานเล็กๆ น้อยๆ บ้างก็ให้ตามนางไปขุดหาผักป่าเก็บผลไม้ บ้างก็พาเขาไปล่าสัตว์อสูรตัวย่อมๆ
แม้บางครั้งจะอันตรายยิ่ง แต่อย่างน้อยก็ทำให้นางรู้สึกว่าหุ่นเวทยังคงไว้ซึ่งชีวิตชีวา เป็นคู่หูของนางเหมือนวันวาน หาใช่สังขารที่เดินได้เท่านั้น
บางคราวเว้นไปสักสามวันห้าวัน นางก็จะพาหุ่นเวทมาขุดหาผักป่าที่หุบเขาแห่งนี้ เสร็จเมื่อไรก็จะขึ้นมาดูสถานการณ์บนยอดเขาเป็นประจำ
แม้ต้นฉยงซังหายไปแล้วก็จริง แต่หลังจากฉยงฉีกลืนต้นฉยงซังลงไป ดวงวิญญาณก็ย่อมผนวกเอาเมล็ดของผลฉยงซังเข้าไปด้วย หากกำจัดมันแล้วชิงเมล็ดฉยงซังคืนมาได้ พอนางกินเมล็ดฉยงซังเข้าไปแล้วก็จะมีอายุขัยเสมอฟ้าได้เช่นกัน ในใจนางยามนี้ทั้งขุ่นแค้นที่ฉยงฉีทำร้ายหุ่นเวท ทั้งปรารถนาจะช่วงชิงเมล็ดฉยงซัง จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่อยากให้ฉยงฉีถูกผู้อื่นพบเห็น
ทว่าวันนี้บนยอดเขากลับมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเพิ่มมาผู้หนึ่ง
แขกผู้นั้นยืนอยู่ริมธารน้ำ อาภรณ์และเรือนผมสีดำ มองแต่ไกลประหนึ่งภูเขาที่มีหิมะปกคลุมตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว เป็นบุรุษรูปงามโดยแท้ ทว่าน่าเสียดายที่หน้าตาชวนมองก็ใช่ว่าจะเป็นคนดี เขาถึงกับคิดจะหลอกพาหุ่นเวทของนางไปเชียวหรือนี่
ตอนนั้นเฟิงจงจึงถอยกลับไปที่ทางขึ้นเขาอันคดเคี้ยวเพื่อลอบจับตาดูเขา ด้วยกลัวว่าเขาจะฉกชิงเมล็ดฉยงซังไป นางจึงพูดข่มขวัญหมายจะไล่เขาไปเสียให้พ้น ทว่าเจ้าหนูนี่ถึงกับประกาศว่ามหาเทพหนี่ว์วาเป็นผู้ชี้แนะให้เขามาที่นี่ ซ้ำฉยงฉีก็ครั่นคร้ามต่อเขายิ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงใช้แผนซ้อนแผนเสียเลย
ตอนนี้ฉยงฉีที่ถูกหวดไปสองแส้แล้วกำลังครางเสียงแผ่วเดินวนเวียนอยู่ฟากตรงข้าม พลางแลบลิ้นเลียบาดแผลเป็นระยะ เห็นชัดว่ามันบาดเจ็บมิใช่เบา เฟิงจงจึงคาดเดาว่าชายหนุ่มชุดสีดำผู้นี้คงมีที่มาไม่ธรรมดา
ฉวยโอกาสที่สองฝ่ายกำลังคุมเชิงกันอยู่ สาวน้อยก็แอบย่องไปถึงข้างกายเขาแล้วประชิดเข้าไปดมเบาๆ บนหลังคอของเขา
ซีกวงพลันหันหน้ามาโดยไม่ให้ตั้งตัว จนใบหน้าเขาเฉียดถูกดวงหน้านาง ก่อนจะยิ้มตาหยีเอ่ยถามอีกว่า “เป็นอย่างไร ดมออกหรือไม่ว่าข้าเป็นเซียนหรือปีศาจ”
เฟิงจงคาดไม่ถึงว่าเขาจะล่วงรู้ความคิดของนาง นางจึงได้แต่ยืดกายตรงก่อนตอบ “ไม่ใช่ทั้งเซียนและปีศาจ เจ้าเป็นเทพโดยกำเนิด น่าจะเป็นทายาทของมหาเทพบรรพกาลด้วย”
“ช่างสมกับเป็นจ่งเสิน” ซีกวงยิ้มมองนางพลางขยับมือสะบัดแส้ออกไปอีกครั้ง ฉยงฉีที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ เตรียมจะลงน้ำจึงถูกหวดจนหงายท้องขาชี้ฟ้าในทันที
คาดว่าฉยงฉีคงโกรธจัดจนเลือดเข้าตาแล้ว ประกอบกับคงจำเฟิงจงได้ ทันทีที่มันตะกายลุกขึ้นจึงเปลี่ยนทิศทางโถมตรงเข้าใส่เฟิงจงแทน