จากนั้นมา ทุกวันของเซวียนชิงก็เปลี่ยนเป็นปรนนิบัติเฟิงจงกินดื่มนอนพัก…ทำกรงเถาวัลย์…และล่าสัตว์อสูร
ส่วนเรื่องที่เฟิงจงต้องทำกลับมีเพียงแค่อย่างเดียว นั่นก็คือ…สั่งการเซวียนชิง
จนกระทั่งต่อมาสัตว์อสูรที่ล่ามาได้นั้นมีจำนวนมากจนไม่มีที่ให้เก็บแล้ว เฟิงจงก็ยังอุตส่าห์เสาะหาถ้ำภูเขาเย็นๆ นำพวกมันไปเก็บตุนไว้เป็นเสบียงสำรองอีก
“ถ้าอย่างไรวันพรุ่งนี้ลองผัดดูบ้างดีหรือไม่ เอาไปนึ่งก็เข้าทีเหมือนกันนะ!” เย็นนี้นางถึงกับเริ่มสั่งอาหารล่วงหน้า ทั้งที่ในมือยังชูเนื้อที่เพิ่งย่างเสร็จอยู่แท้ๆ
“ข้าทำไม่เป็นหรอก”
เฟิงจงถอนหายใจ “เรื่องแค่นี้บรรดาเทพเซียนน้อยอย่างพวกเจ้าก็ทำกันไม่เป็นแล้วหรือ”
เซวียนชิงถูกต่อว่าเสียจนผุดสีหน้ากระดากอาย ในใจยิ่งขมขื่นเป็นเท่าทวี
ผ่านไปสิบกว่าวัน บริเวณนั้นก็ไม่พบเจอสัตว์อสูรให้ล่าอีก เฟิงจงคาดเดาว่าพวกมันคงถูกกำจัดหมดสิ้นแล้ว จึงเรียกเซวียนชิงไปสำรวจหาต้นน้ำด้วยกัน
เซวียนชิงโอบนางเหาะมองจากที่สูง ทุกสิ่งเบื้องล่างล้วนเห็นชัดถนัดตา เลยจากแอ่งลาดต่ำแห่งนั้นไป รอยแตกระแหงของพื้นดินที่แห้งผากก็ค่อยๆ จางหาย เริ่มมีแต้มสีเขียวขจีกระจายอยู่บ้างประปราย ถัดจากนั้นก็เห็นต้นไม้ทีละสองสามต้น ก่อนจะได้ยินเสียงน้ำแว่วมาเข้าหู
ทั้งสองมุ่งไปตามเสียงของน้ำแล้วร่อนลงในหุบเขาแห่งหนึ่ง รอบด้านมีต้นไม้ที่เรียกชื่อไม่ถูกขึ้นอยู่หลายต้น ใต้ฝ่าเท้ามีหญ้าสีเขียวที่แผ่ขยายออกไปกอแล้วกอเล่า บนหน้าผาฝั่งตรงข้ามเป็นธารน้ำตกที่ไหลลงมาประหนึ่งแถบผ้าไหมสีขาว แม้ไม่เชี่ยวกรากแต่ก็รินไหลลงสู่เบื้องล่างไม่ขาดสายจนกลายเป็นบึงลึกแห่งหนึ่ง
เฟิงจงซอยเท้าวิ่งตรงไป แล้วย่อกายลงวักน้ำขึ้นดื่มจนหมดในอึกเดียว พาให้นางรู้สึกแสนจะชุ่มฉ่ำชื่นใจ “ที่นี่ดียิ่งนัก พวกเราสร้างเรือนลงหลักปักฐานกันที่นี่เลยดีกว่า!”
หัวไหล่ของเซวียนชิงลู่ตกลงทันใด…นี่ข้าต้องตัดไม้มาสร้างเรือนด้วย?!
เฟิงจงไม่ได้เห็นน้ำมากเช่นนี้มานานแล้ว สาวน้อยจึงนั่งยองเล่นน้ำอยู่ที่ริมบึง ครึ่งวันก็ยังไม่อาจตัดใจย้ายร่างไปที่อื่นได้ กระทั่งชายเสื้อถูกน้ำกระเซ็นจนชุ่มแล้วก็ยังไม่ใส่ใจ นางยังเอ่ยกับเซวียนชิงว่า “เจ้าขึ้นไปดูบนยอดเขาทีนะว่าปลอดภัยหรือไม่”
เมื่อได้รับคำสั่งจากนาง ร่างกายของเซวียนชิงก็ทะยานสวนทางกับน้ำตกขึ้นไปอย่างเชื่อฟัง ทว่าขณะจะร่อนลงบนยอดเขาแล้วนั้น จู่ๆ พลังเทพก็ใช้หมดไปเฉยๆ เขารีบถลาลงบนยอดเขาอย่างลนลาน หวุดหวิดจะล้มคะมำ
เฟิงจงที่อยู่ด้านล่างไม่ทันเห็นความผิดปกตินี้เลยสักนิด ขณะที่เซวียนชิงตื่นตระหนกจนเหงื่อกาฬโซมกาย เขาก็ต้องรีบเพ่งฌานสำรวจอาการของตนเองทันที
การรุกทำลายดวงจิตของตะปูตรึงวิญญาณไม่เคยหยุดยั้งสักชั่วขณะเดียว แม้จะอาศัยโลหิตของเฟิงจงต่อชีวิตไปได้เรื่อยๆ ทว่านานวันเข้าก็มีแต่จะเป็นภาระของกันและกันเสียมากกว่า เขาเองก็ใกล้จะประคองร่างนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว