เรื่องที่นางเป็นกังวลยังคงเกิดขึ้นจนได้ ฉยงฉีฟาดดวงจิตของเขาหลุดออกไปแล้วจริงๆ ทว่าดวงจิตของเทพเซียนหาใช่สิ่งที่มนุษย์จะสามารถมองเห็นได้ ดังนั้นฉยงฉีกลืนกินดวงจิตเขาลงไปเมื่อไรนางก็ไม่รู้แน่ชัด
ดวงจิตหาใช่สิ่งที่มนุษย์จะมองเห็นได้ เพราะขณะนี้เหนือศีรษะของนางก็ยังมีดวงจิตสายหนึ่งวนเวียนอยู่ ก่อนจะลอยขึ้นไปถึงชั้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ลักษณะที่บิดโค้งดุจร่ายรำนั้นบ่งบอกถึงอารมณ์อันตื่นเต้นยินดีมิใช่น้อย
ข้าทำสำเร็จแล้ว ทุกอย่างล้วนคำนวณได้แม่นยำยิ่ง ในที่สุดก็กลับคืนสู่ร่างต้นกำเนิดได้เสียที!
ภายใต้แสงตะวันแรงกล้า รอบด้านเงียบเหงาวังเวง น้ำตกยังคงไหลรินลงไปดังซ่าๆ นอกจากไม่มีต้นฉยงซังแล้ว ทุกสิ่งบนยอดเขาล้วนเป็นเช่นก่อนหน้านี้
เฟิงจงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม จวบจนดวงตะวันคล้อยสู่ทางตะวันตกแล้วก็ยังคงไม่ไหวติง จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่แยแสต้นฉยงซังที่หายไปแต่อย่างใด
หุ่นเวทนั่งอยู่ข้างกายนางนี่เอง ดูแล้วไม่มีความผิดปกติเลยสักนิด เพียงแต่สองตาไร้ประกาย ทั้งไม่อาจพูดจาและจะไม่คิดอ่านอีกต่อไปแล้ว
แม้นี่ยังคงเป็นร่างของเทพ แต่เมื่อปราศจากดวงจิตก็ไร้ซึ่งพลังเทพแล้ว นับแต่นี้กระทั่งพูดคุยนางก็ไม่อาจทำได้ พูดสั้นๆ ก็คือ…เขาไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว
ในที่สุดเฟิงจงก็ยืนขึ้น เดินมุ่งหน้าลงเขาไปโดยไม่คิดจะเหลียวหลัง ทว่ายังไม่ทันจะถึงห้าก้าวนางก็ชะงักฝีเท้า
หุ่นเวทยังคงนั่งสงบอยู่ตรงนั้น เสียงคำรามของฉยงฉีที่จนตรอกเพราะแสงตะวันก็ยังดังมาจากในน้ำเป็นระยะ ขอเพียงนางจากไป ยามฟ้ามืดก็เป็นเวลาที่ร่างเขาต้องสูญสิ้นจริงๆ แล้ว
ทว่าเรื่องแรกที่เฟิงจงจำได้นับแต่วันที่นางถือกำเนิดก็คือการนำพาชีวิตมาให้แก่สรรพสิ่งในพิภพมนุษย์ มิใช่ความตาย
สุดท้ายนางก็ทำมุทรา หุ่นเวทลุกขึ้นเดินมาหานางทันที อาภรณ์พัดพลิ้วล้อลมประหนึ่งกับวันวาน
เฟิงจงจับจูงเขาเดินไปเบื้องหน้า ดวงตานางหลุบลงพลางทอดถอนใจเบาๆ “กระทั่งเจ้าชื่ออะไรข้าก็ยังไม่รู้เลย”
แสงอัสดงโอบล้อมมารอบด้าน พิภพมนุษย์อันไพศาลบัดนี้เหลือนางเดียวดายเพียงลำพังอีกครั้ง
พิภพสวรรค์ต่างจากพิภพมนุษย์ ที่นี่มีเมฆาสีม่วง* ปกคลุมตลอดปี สี่ฤดูกาลล้วนเป็นเช่นวสันต์ มีแต่ความรุ่งโรจน์มงคลอยู่เป็นนิจ
สุดเขตบูรพาของพิภพสวรรค์มีบรรพตเซียนอยู่แห่งหนึ่ง เล่าขานกันว่าภายหลังที่มหาเทพหนี่ว์วาอุดรูรั่วบนฟ้าในครั้งนั้นก็ได้ทุ่มเทพลังใจกายไปจนสิ้น นางจึงเลือกที่จะนิทรายังสถานที่แห่งนี้ แต่เพื่อเป็นการปกปักรักษาความเจริญแห่งพิภพมนุษย์เอาไว้ ก่อนหน้านั้นนางจึงทำให้จ่งเสินถือกำเนิดขึ้น
ท่ามกลางทิวเขาอันสูงชันสลับซับซ้อนนี้เต็มไปด้วยเมฆหมอกที่มีแสงสีอันเรืองรอง ทันทีที่วิหคครามตัวหนึ่งทะลวงผ่านม่านเมฆร่อนลงบนยอดเขาที่สูงที่สุด มันก็กลายร่างเป็นบุรุษที่อาภรณ์ช่วงบนเป็นสีครามช่วงล่างเป็นสีขาว บนมวยผมครอบเกี้ยวสีทองอร่าม สายตากวาดมองไปรอบด้านไม่หยุดนิ่ง
“โอ๊ะ นี่เทพชิงหลีมิใช่หรือ”
พอเทพชุดครามผู้นั้นหันขวับไป เซียนหนุ่มผู้หนึ่งก็ฝ่าเงาไม้ที่อยู่ด้านหลังออกมามองเขาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขาจึงกระแอมแห้งๆ ก่อนย้อนถาม “ที่แท้ก็เซียนฉีอวิ๋นนี่เอง ไม่รู้ลมอะไรพัดเจ้ามาถึงทิวเขาสุดเขตบูรพานี่ได้”
“ยังจะเป็นเพราะเหตุใดได้เล่า” ฉีอวิ๋นซึ่งเป็นเซียนระดับสูงมีคิ้วเข้มตาโต ทว่าเมื่อยิ้มกลับมีใบหน้าเฉกเช่นโจรมากเล่ห์ เขาเดินตรงมาแล้วชนไหล่กับชิงหลีซึ่งเป็นเทพระดับสูงหนึ่งที “เจ้าก็มาตามหาจ่งเสินเช่นกันกระมัง”
ชิงหลีกลอกตาใส่อีกฝ่าย “ข้าไม่ทำเรื่องน่าเบื่อเช่นนั้นหรอก ก็แค่บังเอิญผ่านทางมาเท่านั้น”