“อ้อ…” เจ้าคิดว่าจะหลอกข้าได้หรือ สีหน้าของฉีอวิ๋นเผยความรู้สึกนี้ออกมาอย่างชัดเจน “ข้าค่อยวางใจได้เสียที ไม่เช่นนั้นหากพบจ่งเสินเข้าจริงๆ ต้องมายื้อแย่งกับเจ้าอีกคงจะไม่ดีนัก”
ชิงหลีแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “เชิญเจ้าตามสบายเถอะ” ทว่าขณะที่เขาทะยานร่างจากไปนั้น กลับเห็นฉีอวิ๋นชี้มือไปข้างหน้าพร้อมกับตะโกนก้องว่า “จ่งเสิน!”
ชิงหลีไม่ทันได้คิดมากก็เปลี่ยนทิศทางของก้อนเมฆ พุ่งปราดไปทางที่ฉีอวิ๋นชี้ทันที
“ฮ่าๆๆ” ฉีอวิ๋นกุมท้องหัวเราะร่วน “ยังจะพูดว่าเจ้าไม่ได้มาตามหาจ่งเสินอีกหรือ เอาสิ เจ้าเสแสร้งต่อไปอีกสิ!”
ชิงหลีรั้งเท้ากลับมา ใบหน้าสลับสีประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวเขียว “เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้ามายุ่งหรอก!”
ฉีอวิ๋นโบกมือเอ่ย “อะไรกันเล่า ตอนนี้ก็มีเรื่องจื่ออินให้เห็นแล้ว ผู้ตามหาจ่งเสินก็ย่อมจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”
ชิงหลีตะลึงงัน “จื่ออินเป็นอะไร”
“เอ๋? นี่เจ้าไม่รู้หรือ เขาถูกส่งไปแดนฮุ่นตุ้น แล้ว”
“เพราะเหตุใด”
“ก็เพราะเคียดแค้นเรื่องสูญเสียทายาทจนตกสู่วิถีมารน่ะสิ ว่ากันว่าเขายังสังหารเซวียนชิงด้วย”
ชิงหลีขมวดคิ้ว “เซวียนชิง? เซวียนชิงคนไหนกัน”
ฉีอวิ๋นผายสองมือออก “จะว่าไปข้าเองก็ไม่ได้รู้จักมักคุ้นนักหรอก เจ้าหนูนี่มีที่มาพิกลยิ่ง ราวกับโผล่ออกมาจากอากาศอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็เห็นเขามีท่าทางสุภาพเป็นมิตรกับทุกคนดี ถูกสังหารไปเช่นนี้ช่างน่าเสียดายโดยแท้ เหตุใดไปตอแยจื่ออินจอมอารมณ์ร้ายนั่นเข้าได้นะ”
ชิงหลีมีท่าทีครุ่นคิด “ไม่มีทางที่ผู้ใดจะกลายเป็นเทพเซียนได้โดยไร้ที่มา เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นร่างแบ่งภาคของเทพเซียนท่านใด”
ฉีอวิ๋นหัวเราะ “นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า มหาเทพผู้มีร่างพหุภาค เท่านั้นถึงจะใช้ร่างแบ่งภาคได้ นับแต่โบราณมาข้าก็เคยได้ยินว่ามีแต่มหาเทพฝูซี ที่มีร่างพหุภาค แต่นั่นก็เป็นเรื่องตั้งหลายพันปีก่อนแล้ว พิภพสวรรค์ในตอนนี้ใครยังจะมีความสามารถพิเศษนี้กันเล่า”
ชิงหลีเม้มปาก “ก็จริงของเจ้า”
ฉีอวิ๋นโอบบ่าอีกฝ่ายไว้ “เจ้าลองคิดดูนะ เหตุที่จื่ออินต้องลงเอยในสภาพนี้ก็เพราะสูญสิ้นทายาท ตัวเจ้าเองก็คงไม่อยากกลายเป็นอย่างเขาหรอกกระมัง ไม่สู้ร่วมทางกับข้าไปตามหาจ่งเสินด้วยกันเป็นอย่างไร”
ชิงหลีปัดมือของฉีอวิ๋นออกอย่างเฉยเมย “ข้าจะไปหาของข้าเอง ไม่จำเป็นต้องร่วมมือกัน” จบคำชิงหลีก็เหยียบขึ้นก้อนเมฆจากไปทันที
ฉีอวิ๋นยังไม่ถอดใจ ขี่เมฆไล่ตามชิงหลีไปโดยไม่รอช้า จวบจนเข้าเขตภูเขาฝูเฟิงถึงได้ไล่ตามอีกฝ่ายทัน ก่อนจะเริ่มเอ่ยโน้มน้าวต่อ ฉีอวิ๋นพลันเหลือบไปเห็นรถเทียมมังกรคู่จอดอยู่บนยอดเขาฝูเฟิง บนรถคันนั้นมีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ทั้งอาภรณ์และเรือนผมเป็นสีดำกำลังเอนหลังนอนสบายทีเดียว
ตำหนักตงจวินตั้งอยู่บนภูเขาฝูเฟิงแห่งนี้ และนี่ก็คือรถเชิญตะวันของตงจวิน
ชิงหลีมองอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ “เจ้าซีกวงนั่นเกียจคร้านเช่นนี้อยู่เสมอ ทั้งที่เห็นกันอยู่ว่าความสามารถพื้นๆ ก็ยังได้นั่งตำแหน่งตงจวิน แค่อาศัยว่าเป็นทายาทของมหาเทพบรรพกาลเท่านั้นเอง”
ฉีอวิ๋นรู้ว่าชิงหลีเห็นซีกวงขัดตามาแต่ไหนแต่ไร จึงพูดปลอบอย่างนึกขัน “ตงจวินก็แค่มีหน้าที่ดูแลดวงตะวันนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ตอนนี้พิภพมนุษย์ไม่มีผู้คนแล้ว ดวงตะวันจะขึ้นหรือไม่ก็ไม่เห็นเป็นไร งานที่มีแค่ตำแหน่งลอยๆ เช่นนี้ก็ต้องมอบหมายให้พวกที่มีฝีมือพื้นๆ ไปทำเป็นธรรมดา”
ชิงหลีสบายใจขึ้นไม่น้อย “จริงของเจ้า ข้ากับเขาเป็นทายาทของมหาเทพบรรพกาลเหมือนๆ กัน แต่เขายังสู้ข้าไม่ได้สักนิด”