บทที่สาม
ผิดจากที่จินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง นี่ถึงกับเป็นลูกสัตว์ตัวหนึ่ง ก้อนกลมอ้วนท้วนสีขาวหิมะนั้นยังมีฟันขึ้นไม่ครบเลยด้วยซ้ำ ประกอบกับมันตาโตหูแหลม หางสั้น อุ้งเท้าเจ้าเนื้อ มองไม่ออกสักนิดว่ามีที่ใดให้พรั่นพรึง
เฟิงจงเองก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “ดูเหมือนว่านี่จะเป็น…ฉยงฉีในร่างที่ยังไม่โตเต็มวัย?”
ซีกวงพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่าดวงวิญญาณของฉยงฉีถึงมุดเข้าร่างนี้ ที่มันคอยป้องกันพวกเรามาตลอดก็เพื่อจะรอจังหวะเข้าร่างมาเกิดใหม่นี่เอง”
ฉยงฉีตัวจ้อยส่งเสียงร้องดังพูชือพูชือพลางโบกควงอุ้งเท้าเจ้าเนื้อ บิดตัวขยับไปมาหมายจะดิ้นให้หลุดจากแส้ ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังไร้ผล มันจึงชะงักไปแล้วหันมาถลึงตาใส่ซีกวงอย่างโมโหแทน อึดใจถัดมาก็ได้ยินเสียงดังปิ๊ดทีหนึ่ง มันถึงกับพ่นน้ำลายใส่หน้าของเขาแล้ว
ซีกวงหลับตาปี๋ เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก รีบสะบัดมันไปยังเบื้องหน้าเฟิงจงทันที “จัดการตามใจเจ้าได้เลย”
เฟิงจงรับมันไว้ได้ในคราวเดียว นางเค้นเลือดที่ปลายนิ้วแล้ววาดยันต์หุ่นเวทบนหน้าผากมันอย่างว่องไว รอจนรอยเลือดเร้นหายไปแล้ว ถึงค่อยวางมันลงบนพื้น
“พูชือชือ!” ฉยงฉีตัวจ้อยส่งเสียงร้องหมายหลบหนี
เพียงเฟิงจงจรดนิ้วทำมุทรา มันก็นั่งนิ่งสงบเรียบร้อยทันตาเห็น
“หืม นี่คือวิชาอะไร ถึงกับร้ายกาจปานนี้” ซีกวงแสร้งทำเป็นมองไม่เข้าใจ
เฟิงจงคิ้วขมวดไม่ตอบคำ เห็นๆ กันอยู่ว่านางยังคงควบคุมสรรพชีวิตได้ดังเดิม แต่เหตุใดวิชาหุ่นเวทถึงใช้การกับเขาไม่ได้อยู่คนเดียวเล่า หรือเขาไม่ได้พูดโป้ปด…มหาเทพหนี่ว์วาเลือกเขาแล้วจริงๆ?
ฟ้ามืดแล้ว ราตรีนี้จันทร์ส่องสกาวมีดาวอยู่บางตา ทั้งยังปลอดพายุทราย เป็นคืนที่อากาศดีอย่างหาได้ยากยิ่ง
เฟิงจงไม่ได้กลับไปที่ถ้ำภูเขาอีก นางใช้กิ่งไม้สร้างเพิงพักชั่วคราวอย่างเรียบง่ายไว้ในหุบเขาแห่งนี้เลย ในที่สุดตอนนี้นางก็สามารถอาศัยอยู่ในสถานที่ซึ่งมุ่งหวังมาช้านานนี้จนได้ เพียงแต่เสียดาย…ที่เจ้าหนูหุ่นเวทกลับไม่ได้เห็นภาพนี้แล้ว
ท่ามกลางเสียงน้ำตกดังซ่าๆ นางก่อไฟที่ข้างบึงน้ำ หยิบยืมพลังเทพของซีกวงมาแตะศิลาเสกเป็นหม้อ เสร็จแล้วก็เริ่มต้มน้ำแกงผักป่า
คั่นกลางด้วยกองไฟกองนั้น ซีกวงกับเซวียนชิงนั่งแยกซ้ายขวาอยู่ตรงข้ามกับนาง ตรงกลางระหว่างพวกเขาคือฉยงฉีตัวจ้อยที่ขดร่างเป็นก้อนกลม นับแต่มันถูกจับกุมก็อาละวาดไม่เลิกรา ในที่สุดตอนนี้ก็เหนื่อยได้สักที กอดศีรษะหลับอุตุไปเรียบร้อยแล้ว
ในมือเฟิงจงกำมีดที่ทำจากกระดูกสัตว์ กำลังบรรจงเหลากิ่งไม้ที่ลอกเปลือกออกแล้วพลางเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้เงยหน้า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าคือตงจวินซีกวง?”
ซีกวงผงกศีรษะรับ “ใช่แล้ว”
“พิภพสวรรค์มีเทพเซียนออกมากมาย เหตุใดมหาเทพหนี่ว์วาต้องเจาะจงไปเข้าฝันเจ้าเล่า”
“บิดาข้าเคยบำเพ็ญตบะรับคำชี้แนะจากมหาเทพฝูซี ข้ากับมหาเทพหนี่ว์วาจึงนับว่ามีความเกี่ยวพันอยู่บ้าง” วาจานี้นับว่าเป็นความจริง ที่จริงแล้วเขาเองก็ถือกำเนิดในช่วงต้นบรรพกาล เพียงแต่ยังช้ากว่าจ่งเสิน และที่ผ่านมาก็ไม่เคยพบเจอนางกับตาตนเองมาก่อน
เฟิงจงหยุดขบคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “ข้าจำได้ว่าศิษย์ของมหาเทพฝูซีล้วนแต่เป็นสัตว์วิเศษในช่วงต้นบรรพกาล เช่นนั้นเจ้ามิใช่ทายาทของสัตว์วิเศษหรอกหรือ”