ตกค่ำเฟิงจงก็เตรียมพร้อมสำหรับออกเดินทางไปพอสมควรแล้ว สัตว์อสูรย่างที่กินเหลือตัวนั้นถูกนางหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วห่อด้วยใบไม้สะอาด ก่อนบรรจงวางใส่ไว้ในหลัวสะพายหลังใบนั้น
ทว่าฉยงฉีกลับหิวขึ้นมาอีกแล้ว มันกระโดดเหยงๆ อยู่ด้านข้างไม่ยอมหยุด เอาแต่วนไปเวียนมาอยู่รอบๆ หลัวสะพายหลัง จนกระทั่งถูกนางหิ้วตัวมาอบรมหนึ่งรอบถึงสงบลงได้
ไม้ฟืนในกองไฟส่งเสียงดังเพียะพะ ฉยงฉีหมอบอยู่ด้านข้างแค่นเสียงดังพูพูด้วยความไม่พอใจ จู่ๆ หูแหลมของมันก็พลันตั้งขึ้น เกร็งลำตัวขึ้น มองไปยังบริเวณที่อยู่ไกลออกไป ปากก็คำรามเสียงต่ำดังอูอู
เห็นฉยงฉีเป็นเช่นนั้นในใจเฟิงจงก็ตื่นตัวระวังภัยในทันที มองตามสายตาของมันไปได้ไม่นานนัก นางก็ได้ยินเสียงร้องฮุยเลฮุยดังมาระลอกหนึ่ง
เสียงที่ค่อนข้างคล้ายกับเสียงมนุษย์นี้ทำให้ใจเฟิงจงรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง ทว่าสถานการณ์ยังไม่ชัดแจ้ง นางจึงยังรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ พลางคลำหาท่อนกระดูกสีขาวที่เรียวยาวท่อนนั้นมากำไว้ในมือ
เสียงเล็กแหลมและดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แสงไฟที่สาดส่องค่อยๆ เผยให้เห็นลูกท้อทิพย์ลูกใหญ่ฉ่ำน้ำลูกหนึ่งกำลังลอยโคลงเคลงมาหานางอย่างช้าๆ
เฟิงจงประหลาดใจยิ่ง ก่อนจะเห็นว่าที่แท้ลูกท้อทิพย์นั้นวางอยู่บนกิ่งไม้สองกิ่ง กลุ่มคนร่างเล็กที่อยู่เบื้องล่างเสียแรงไปไม่น้อยในการหามมันเดินมุ่งหน้ามาพลางร้องฮุยเลฮุยตลอดทาง
แต่ละคนในกลุ่มนั้นมีส่วนสูงไม่ถึงสองฉื่อ ต่างสวมเอี๊ยมและมุ่นผมเป็นมวยบนศีรษะคนละสองลูก หน้าตาท่าทางยังดูเป็นเด็กน้อยทุกคน พวกเขาหามลูกท้อทิพย์ลูกนั้นมาจนถึงเบื้องหน้าเฟิงจง ทันทีที่วางลูกท้อทิพย์ลงก็เหน็ดเหนื่อยจนล้มกองบนพื้น
มีเพียงเด็กน้อยคนหน้าสุดนั้นที่ยังยืนอยู่ เขาคุกเข่าลงแล้วคารวะเฟิงจง “ยินดีกับท่านผู้มีอายุขัยเสมอฟ้า พวกข้าน้อยตั้งใจมามอบของกำนัลเพื่อแสดงความยินดี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะโปรดรับไว้”
เฟิงจงสูดกลิ่นเบาๆ…ทั้งหมดล้วนเป็นวิญญาณร้าย!
นางกุมกระดูกสีขาวท่อนนั้นไว้ ทิ่มแรงๆ ไปบนลูกท้อแล้วยกมาดูเบื้องหน้าสายตา จากนั้นจึงยื่นคืนกลับไป “เจตนาดีของทุกท่าน ข้าจะรับไว้เพียงลำพังได้อย่างไรเล่า ลูกท้อนี้ก็มอบเป็นรางวัลแก่ทุกท่านแล้วกัน”
เด็กน้อยทั้งหลายรีบตะกายขึ้นมาคุกเข่ากับพื้นอย่างสำรวม “มิกล้าๆ” ท่อนกระดูกในมือของเฟิงจงได้มาจากร่างของสัตว์อสูร พวกเขาคล้ายดูหวั่นเกรงอยู่บ้าง ถึงได้หลบเลี่ยงไปซ้ายขวา
เฟิงจงเอ่ยอย่างเยาะหยัน “เป็นแค่วิญญาณพเนจรกลุ่มหนึ่งก็ยังกล้ามาตบตาข้า อยากวิญญาณแตกสลายนักใช่หรือไม่”
สีหน้าของเด็กน้อยคนหน้าสุดพลันเปลี่ยนไปทันใด รูปโฉมไม่เพียงดุร้ายน่าสะพรึงกลัว ปากยังเผยเขี้ยวยาวขณะโถมเข้าใส่เฟิงจงอย่างรวดเร็ว
เฟิงจงถือโอกาสสะบัดมือเหวี่ยงลูกท้อนั้นออกไป เมื่อลูกท้อกระแทกใส่ร่างของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำก็ทะลุผ่านหน้าอกเขาไปราวกับชนถูกหมอกควันกลุ่มหนึ่ง เด็กน้อยที่เหลือเห็นเช่นนั้นก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริง พากันพุ่งเข้ามาอย่างดุดันหมายจะฉีกกัดร่างนาง
เฟิงจงลุกขึ้นถอยร่นพลางปรายตามองฉยงฉีปราดหนึ่ง…มันกำลังชมความครึกครื้นอย่างตื่นตัวเท่านั้น
“จอมตะกละ เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ!” นางด่ากราดหนึ่งประโยคก่อนจรดนิ้วทำมุทรา ฉยงฉีถึงได้รุดขึ้นหน้ามาขวางไว้พร้อมกับคำรามดังพูพูสองหน
กลิ่นอายของสัตว์อสูรข่มขวัญวิญญาณพเนจรกลุ่มนี้ได้ทันที ทว่าก็ได้แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ถึงอย่างไรฉยงฉีก็ยังไม่เจริญวัย ดูไม่มีพลังอันน่าครั่นคร้ามเลยสักนิด วิญญาณพเนจรกลุ่มนั้นจึงลอยพลิ้วผ่านเลยมันไป มุ่งมาโจมตีเฟิงจงอีกครา
เห็นตนเองถูกมองข้ามไปเสียได้ ฉยงฉีพลันขัดเคืองใจยิ่งนัก จึงรีบกลับตัวแล้วไล่หลังมาทันใด พอตะปบคว้าวิญญาณร้ายได้ ฉยงฉีก็จับกลืนลงท้องในคำเดียว ทั้งยังส่งเสียงเรอออกมาด้วย