รอจนเฟิงจงลากงูเหลือมยักษ์ตัวนั้นออกมาจากป่าทึบ ฟางจวินเยี่ยที่ยังนั่งเช็ดกระบี่ยาวอยู่ที่เดิมก็ยกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเพียงประโยคเดียวด้วยท่าทีไม่ยินดียินร้าย “ก็มีฝีมืออยู่พอตัว”
เฟิงจงคลายมือแล้วหอบฮัก “ขอยืมพลังเซียนของเจ้าจุดเพลิงกสิณกองหนึ่งได้หรือไม่”
“ไม่ได้” ฟางจวินเยี่ยสอดกระบี่ลงในแกนม้วนภาพอย่างระมัดระวัง “ข้าเป็นเซียนต้องโทษ จุดเพลิงกสิณไม่ได้หรอก”
เฟิงจงจึงได้แต่ลงมือก่อไฟเอง
นับแต่ฉยงฉีติดตามเฟิงจง มันก็กินเนื้อสุกตามนางมาตลอด ทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นเนื้อสุกที่ซีกวงใช้เพลิงกสิณย่างอีกด้วย ปากของมันถูกปรนเปรอเสียจนไม่รู้รสของทั่วไปแล้ว วันนี้กินเนื้องูที่ย่างด้วยไฟธรรมดาจึงถึงกับออกอาการเลือกกิน มันใช้อุ้งเท้าจ้ำม่ำเขี่ยเนื้อไปมาอย่างรังเกียจรังงอน สุดท้ายก็ถูกเฟิงจงเขกกะโหลกหนหนึ่ง มันถึงได้เอาเนื้อใส่เข้าปากอย่างกล้ำกลืนฝืนทน
เฟิงจงสัมผัสได้แล้วว่าฟางจวินเยี่ยเป็นคนเฉยชายากเข้าใกล้ ทั้งพูดจาไม่มากนัก พอกินเสร็จนางจึงไปที่ริมธารน้ำด้วยตนเอง ล้างมือล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว กลับมาถึงข้างกองไฟนางก็เอนร่างนอนกับพื้นทันที
เรื่องสำคัญเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือต้องพักบำรุงกำลังก่อน
ฟางจวินเยี่ยช้อนตาขึ้นก็เห็นแผ่นหลังของนางโดยบังเอิญ อาภรณ์สวรรค์บนร่างนางถูกลูกธนูกรีดขาดเป็นรูโหว่ เผยให้เห็นผิวกายบนแผ่นหลังรำไร เขาเบนสายตาไปมองฉยงฉีที่นอนแผ่อยู่ปราดหนึ่ง จากนั้นก็กอดม้วนภาพไว้แนบอก หลับตานั่งเข้าฌานต่อ
ไม่เกินสองชั่วยาม เขาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงลืมตาขึ้น เห็นเฟิงจงกำลังอุ้มฉยงฉีเดินมุ่งลงเขาไป
“เจ้าจะไปไหน”
“ชิงถุงฟ้าดินคืนมา” เฟิงจงไม่กอดความหวังว่าฟางจวินเยี่ยจะช่วยเหลือ ศีรษะจึงไม่เคยเหลียวหลังแม้สักนิด
เมื่อใกล้จะถึงเชิงเขาแล้ว เสียงของฟางจวินเยี่ยก็ดังขึ้นที่เบื้องหลัง เขาถึงกับตามมาด้วย “สถานที่ที่เจ้าควรไปคือทะเลเขี้ยวพิโรธ”
“จำเป็นต้องชิงถุงฟ้าดินกลับมาก่อน” เฟิงจงหยุดฝีเท้า นางหยิบขนแผงคอม้าเส้นหนึ่งจากกล่องหุ้มแพรออกมาเสกเป็นอาชาเหิน ก่อนจะหิ้วตัวฉยงฉีไว้แล้วขึ้นขี่บนหลังม้า
ฟางจวินเยี่ยกดหลังม้าไว้ “เจ้าจงใจกระมัง คิดจะบีบให้ข้ายื่นมือไปจัดการกับปีศาจภูเขาเหล่านั้น”
“ไม่มีใครบีบบังคับเจ้า เรื่องนี้ไม่อยู่ในขอบเขตที่ซีกวงไหว้วาน เจ้าไม่ต้องสนใจก็ได้” เฟิงจงปัดมือเขาออก เพียงกระตุกขนแผงคอม้า อาชาเหินก็กระพือปีกขึ้น เหาะกลับไปตามทางเดิม
เนื่องจากมีถุงฟ้าดินคั่นกลาง จิตของหุ่นเวทที่สัมผัสได้จึงอ่อนแรงกว่าปกติ ระหว่างที่ขี่อาชาเหินเฟิงจงจึงต้องไล่ตามกลิ่นอายเบาบางนั้นอยู่บนฟ้า เนิ่นนานกว่าจะร่อนลงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง
เบื้องหน้าสายตาเป็นลานเรียบอยู่หน้าถ้ำ มีประตูศิลาบานหนึ่งปิดสนิทอยู่ นางเดินเนิบนาบสองก้าวอยู่นอกประตู ก่อนจะหยิบท่อนกระดูกออกมาทิ่มที่ปลายนิ้ว ส่งผลให้หยาดเลือดหยดเผาะๆ ลงบนพื้น
ไม่ทันไรประตูใหญ่บานนั้นก็เปิดกว้าง ปีศาจภูเขากลุ่มหนึ่งสูดปากกลืนน้ำลายพลางยื่นจมูกดมตามกลิ่นออกมาตลอดทาง ปราดแรกที่มองเห็นนาง พวกมันก็พากันร้องก้องทันที “เป็นมนุษย์ผู้นั้น! มนุษย์ผู้นั้นถึงกับเอาตัวมาส่งถึงที่แล้ว!”
เฟิงจงดูดหยุดเลือดที่ปลายนิ้ว ก่อนจะอุ้มฉยงฉีขึ้นแล้วเดินเข้าประตูใหญ่ไปด้วยตนเอง “ข้าต้องการพบไต้อ๋องของพวกเจ้า”
คงเพราะไม่เคยพบเจอมนุษย์ที่ใจกล้าถึงเพียงนี้มาก่อน เหล่าปีศาจภูเขาจึงถอยหลังเข้าไปข้างในอย่างทึ่มทื่อ ปล่อยให้นางเดินเข้ามาได้อย่างราบรื่น
เมื่อพ้นจากทางเดินยาวสิบจั้งเศษแล้ว ภาพเบื้องหน้าสายตาก็พลันเปิดโล่ง ภายในถ้ำถึงกับกว้างขวางโอ่โถงอย่างยิ่ง เพดานถ้ำแขวนไข่มุกราตรีจนสว่างไสวดุจยามกลางวัน ประดับด้วยขื่อคานที่สลักเสลาวาดลวดลาย กับม่านแพรเนื้อโปร่งบางพลิ้ว เครื่องเรือนไม่ว่าจะโต๊ะ เก้าอี้ หรือตั่งนุ่มก็ล้วนมีพร้อมครบครัน ถึงกับมองไม่ออกว่ากำลังอยู่ใจกลางภูเขา
หลิ่วเซิงเดินอ้อมหลังม่านแพรออกมา ปากก็ต่อว่าอย่างหัวเสียไปพลาง “มีเรื่องอะไรถึงส่งเสียงดังเช่นนี้”
เฟิงจงเจอตัวหลิ่วเซิงแล้ว นางพลันตวาดเสียงเย็นทันใด “เอาถุงฟ้าดินของข้าคืนมา!” แม้แต่ฉยงฉียังกระโจนไปตะกุยใส่เขาหนึ่งอุ้งเท้า
หลิ่วเซิงกุมหน้าอกพลางถอยหลังไม่หยุด ลูกนัยน์ตาเขากลอกไปมารอบหนึ่ง ก่อนจะหมุนกายวิ่งไปที่ด้านหลังม่านแพรแล้วตะโกนเสียงดังลั่น “ไต้อ๋อง รีบมาดูเร็วเข้าขอรับ รีบมาดู ข้าน้อยช่วยท่านจับตัวแม่นางน้อยผู้นั้นมาแล้ว!”