ในที่สุดเฟิงจงก็สลัดหลุดจากอาคมมายา ภาพแดนเซียนอันงามตระการตานั้นเลือนหายไปทันใด นางเหลียวมองรอบด้านก่อนจะพบเพียงท้องนภาสีมืดหม่น ตรงหน้าเป็นหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีต้นหญ้างอกเงยสักนิด ครั้นมองดูเบื้องหน้าสายตาอีกครา นางค่อยตระหนักได้ว่าใบหน้าของซีกวงอยู่ใกล้จนสัมผัสลมหายใจได้ แผ่นหลังของเขาชนกับหินผา สาบเสื้อก็ถูกแหวกเปิดนิดๆ ส่วนนางกำลังเขย่งปลายเท้าซบอยู่บนร่างของเขา มือข้างหนึ่งเกาะไหล่กว้าง ส่วนมืออีกข้างกำลังกุมนิ้วมือของเขาอยู่
“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร” นางรีบคลายมือออกแล้วผละถอยหลังไปสองก้าว
เฮอะ นางถึงกับผลักความผิดมาให้ข้าเชียวหรือนี่ ซีกวงยืดกายตรง จัดสาบเสื้อให้เข้าที่ก่อนจะเบือนหน้าไปนิดๆ “ช่างเถอะ โทษข้าคนเดียวก็แล้วกัน เรื่องในวันนี้ข้าจะไม่ตำหนิเจ้าหรอก” จบคำตาของเขาก็ปรายไปทางนางแวบหนึ่งก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปเงียบๆ
เฟิงจงอับจนถ้อยคำ ขณะที่นางตกอยู่ในอาคมมายาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของจิ้งจอกแล้ว เมื่อดูจากการตอบสนองของเขาเมื่อครู่นี้…บางทีอาคมที่เล่นงานนางอาจจะเป็นวิชาจิ้งจอกพราวเสน่ห์
ช่างน่าตายนัก ตอนที่ฉยงฉีเดินมาก็ยังมองนางซ้ำสองหนด้วยแววตาชอบกล ทั้งส่งเสียงพูชือพูชือเหมือนกำลังเยาะหยัน แล้วเดินส่ายก้นไล่ตามซีกวงไป
เฟิงจงได้แต่กระแอมแก้เก้อ เดินตามไปพลาง เหลือบมองซีกวงที่อยู่ด้านหน้าเป็นระยะไปพลาง เขาไม่ได้เหลียวหลังมา เพียงผ่อนฝีเท้าให้ช้ากว่าเดิมเล็กน้อย
“เกรงว่าที่นี่จะมีเซียนจิ้งจอกที่ยากตอแยอยู่ผู้หนึ่ง” เฟิงจงฉวยโอกาสนี้เปรยขึ้น
ซีกวงกลั้นหัวเราะไว้ ฝีเท้าไม่ได้หยุดชะงัก “เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องชี้แจงก็ได้ ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ได้ตำหนิเจ้า”
เฟิงจงเงียบเสียงไปทันใด เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของนางสักหน่อย แต่เหตุใดพอเห็นเขามีท่าทีไม่ถือสาเช่นนี้ นางกลับยิ่งรู้สึกผิดบาปเล่า
เดินไปอีกสักพักก็ออกจากหุบเขามาในที่สุด สีท้องฟ้าดูสว่างตาขึ้นบ้างแล้ว แดนฮุ่นตุ้นแห่งนี้ปราศจากแสงตะวันและไร้ซึ่งรัตติกาล ครึ้มสลัวเช่นนี้ตลอดทั้งวัน แม้ว่ามีหมู่เมฆ แต่ตัวเมฆก็มีสีแดงเลือดปนอยู่ ดูแล้วให้รู้สึกไม่สบายตาสบายใจนัก
ตลอดรายทางมองเห็นยอดเขาเป็นทิวเทือก เบื้องบนปกคลุมด้วยต้นไม้อัปลักษณ์ที่ดูบิดๆ เบี้ยวๆ เบื้องล่างแม้มีธารน้ำไหลริน ทว่าน้ำในลำธารก็แสนจะขุ่น สภาพอากาศก็แปลกพิกลไม่แพ้กัน บางครั้งลมกระโชกพัดโหมมาหอบหนึ่ง แต่ชั่วพริบตาเดียวก็สลายหายไปสิ้นแล้ว
“พวกเราจะเดินกันไปอย่างนี้น่ะหรือ” เฟิงจงถามขึ้น ทะเลเขี้ยวพิโรธตั้งอยู่ที่สุดขอบของแดนฮุ่นตุ้น ลำพังเดินเท้าไปจะต้องเดินถึงปีใดกัน
ซีกวงหันมามองนางแล้วกอดอกไว้ทันที “ให้ข้าได้ฟื้นฟูจิตใจสักนิดก่อนสิ ตอนนี้ข้ายังไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้เจ้าเลย”
“ข้าทำอะไรกับเจ้าหรือ ถึงทำให้เจ้ากลัวข้าถึงขั้นนี้ได้”
“อย่าเอ่ยถึงเลย อย่าเอ่ยถึงดีกว่า ล้วนผ่านไปหมดแล้ว ข้าไม่ตำหนิเจ้าหรอก…จริงๆ นะ” ซีกวงทอดถอนใจไม่เลิกรา
เฟิงจงหงุดหงิดเป็นการใหญ่ ข้าจับตัวเจ้าจิ้งจอกนั่นได้เมื่อไรจะต้องถลกหนังมันอย่างแน่นอน!
ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีลมกระโชกกวาดมาอีกหอบหนึ่ง เฟิงจงพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเข้มข้นของไอมาร นางจึงรีบร้องเรียกซีกวงไว้ ครั้นหันหน้ามองไปบนยอดเขาทางขวามือก็พบสัตว์อสูรลักษณะคล้ายเสือดาวเผือกหนึ่งฝูงราวห้าหกตัวกระโจนลงมา กรงเล็บยาวอันคมกริบของพวกมันครูดผ่านหินภูเขาจนบังเกิดเสียงก้องกังวาน ประหนึ่งว่านั่นคือกรงเล็บเหล็กกล้าอย่างไรอย่างนั้น
ฉยงฉีกระโดดไปมาอยู่บนพื้นในอาการคึกคักยิ่ง คงเพราะรู้สึกว่าเสือดาวที่โผล่พรวดฝูงนี้กำลังจะส่งเนื้อมาให้มันถึงที่แล้ว