ทว่าซีกวงกลับเสกแส้ยาวออกมาตวัดม้วนฉยงฉีไว้แล้วโยนตัวมันเข้าสู่อ้อมอกของเฟิงจง จากนั้นก็โอบพานางทะยานร่างขึ้นด้านบนทันที “ยุ่งยากเกินไป สลัดพวกมันทิ้งไปเลยจะดีกว่า”
หา? เนื้อที่กำลังจะถึงปากพลันหลุดลอยไปเสียแล้ว ฉยงฉีร้องพูพูอย่างผิดหวัง หูลู่ลงทันใด
เฟิงจงปรายตามองมือของซีกวงที่โอบตัวนางอยู่ “จิตใจเจ้าฟื้นฟูแล้วกระมัง”
“ใช่แล้ว” ซีกวงเอ่ยปนยิ้ม “บังเอิญยิ่งนัก พอสัตว์อสูรพวกนี้ปรากฏตัว จิตใจข้าก็ฟื้นฟูพอดี”
เฟิงจงประท้วงอยู่ในใจ ชิ! แปดในสิบส่วนเจ้าหนูนี่ต้องกลั่นแกล้งข้าอยู่เป็นแน่
สัตว์อสูรที่อยู่เบื้องหลังยังคงไล่กวดมาไม่เลิกรา ซีกวงจึงพลิกมือใช้แส้กวาดซัดฝุ่นทรายออกไปหนึ่งระลอก ก่อนจะรีบเร่งความเร็วขึ้นตอนที่พวกมันยังถูกสกัด
ทันใดนั้นสีท้องฟ้าเบื้องหน้าก็พลันสว่างจ้า เฟิงจงแหงนหน้าขึ้นมองก็พบว่าเหนือแผ่นฟ้ามีเมฆขาวหนาทึบลอยวนอยู่กลุ่มหนึ่ง เมฆสีขาวบริสุทธิ์ปานหิมะกลุ่มนั้นหมุนไม่หยุดดุจกระแสน้ำวน แสงสว่างเจิดจ้าก็เปล่งออกมาจากภายในกลุ่มเมฆนี้นี่เอง
ซีกวงพาเฟิงจงร่อนลงบนยอดเขาที่อยู่ข้างเคียง เมื่อมองไปเบื้องหลังก็พบว่าสัตว์อสูรเหล่านั้นถอยหนีไปหมดสิ้นแล้ว
“นั่นคือทางเข้าสู่แดนฮุ่นตุ้นจากพิภพสวรรค์ มีเมฆมงคลปกคลุมอยู่ สัตว์อสูรจึงไม่กล้าเข้าใกล้” ซีกวงหยิบกล่องหุ้มแพรใบเล็กกะทัดรัดออกมาจากแขนเสื้อ เปิดฝากล่องแล้วค้นหาจนพบขนแผงคอม้าสีขาวหิมะเส้นหนึ่ง เขาหยิบมันออกมาเป่าลมใส่เบาๆ ขนเส้นนั้นก็กลายร่างเป็นอาชาเหินสีขาวหิมะตัวหนึ่งร่อนลงมาตรงหน้าในชั่วพริบตา
หูแหลมของฉยงฉีตั้งขึ้นทันใด มันโห่ร้องดีอกดีใจเตรียมจะปรี่เข้าใส่อาชาตัวนั้น ทว่ากลับถูกซีกวงใช้หนึ่งนิ้วกดยันหน้าผากไว้เสียก่อน “นี่ไม่ใช่ม้าที่จะให้เจ้ากิน หากข้าต้องใช้พลังเทพรุดเดินทางไปตลอด เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเหนื่อยมากเพียงใด ต่อจากนี้ให้มันเป็นพาหนะแทนก็แล้วกัน”
“โอ๊ะ ซุกซ่อนของวิเศษไว้นี่เอง เหตุใดไม่เอาออกมาตั้งแต่แรกเสียเลยเล่า” เฟิงจงเหลือบมองกล่องหุ้มแพรในมือของเขา
“เจ้านึกว่าข้ากลับภูเขาฝูเฟิงทั้งที แล้วจะหยิบมาแค่ถุงฟ้าดินใบเดียวหรือ” ซีกวงโอ้อวดไม่ทันจบก็เงยหน้าจับจ้องบนฟ้าไม่วางตา
เฟิงจงมองตามสายตาของเขาไป “เป็นอะไร หรือเจ้ายังมีของวิเศษที่อยากกลับไปเอาที่พิภพสวรรค์?”
ซีกวงไม่ได้เอ่ยวาจา สายตาจับจ้องไปยังเมฆขาวตรงทางเข้าพิภพสวรรค์ที่พลันหมุนวนด้วยความเร็วสูง ในใจเขากระตุกวูบ…คงไม่บังเอิญถึงขั้นมาเจอกับเทพเซียนที่กระทำผิดแล้วถูกส่งตัวเข้ามาพอดีหรอกกระมัง
เขาเพิ่งจะคิดจบก็เห็นทางเข้านั้นเปิดกว้าง ปรากฏการณ์อันเป็นมงคลพลันปรากฏ พร้อมกันนั้นกิเลนเขาเดียวตัวหนึ่งก็พุ่งทะยานออกมาแผดเสียงคำราม แล้วโยนร่างปางตายร่างหนึ่งที่คาบไว้ในปากทิ้งลงมา
ปากหาเรื่องแท้ๆ เชียว กระทั่งพูดอะไรในใจก็ยังอุตส่าห์เจออย่างนั้นได้อีก! ซีกวงรีบดึงตัวเฟิงจงไปหลบหลังหินผาใหญ่ ทว่ายังคงสายไปก้าวหนึ่ง
เฟิงจงเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง “นั่นเซี่ยจื้อหรือ มันตายไปแล้วไม่ใช่หรือไร”
“ก็นั่นน่ะสิ ที่แท้มันยังไม่ตายหรือนี่” ซีกวงตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ช่างเจ้าเล่ห์นัก ข้าต้องถูกมันตบตาเป็นแน่แท้”
วันนั้นเพื่อรับมือกับหมิงเสินถึงได้มีการแบ่งภาคเกิดขึ้น ยามนี้เขาจึงได้แต่กลบเกลื่อนต่อไปเท่านั้น
เฟิงจงพลันโล่งอก “เซี่ยจื้อเป็นสัตว์แห่งความเที่ยงธรรม มันไม่ตายก็เป็นโชคดียิ่ง เพียงแต่เจ้าจะทำอย่างไรดีเล่า เกรงว่าเทพผู้คุมกฎคงรู้เรื่องที่เจ้าทำลงไปแล้ว”
นางเพิ่งพูดขาดคำ เสียงของเซี่ยจื้อก็ดังขึ้นที่เบื้องหน้าหินผา “เป็นตงจวินอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”