“ไต้อ๋อง ไม่ให้ไล่ตามไปจริงหรือขอรับ” เหล่าปีศาจภูเขามองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“จะไล่ตามก็ต้องเป็นข้าไล่ตามไปเอง” ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกกวักมือเรียกเหล่าปีศาจภูเขา “มาๆ ไหนพวกเจ้าบอกข้ามาซิ รูโหว่บนเสื้อตรงแผ่นหลังของนางใช่ฝีมือยิงธนูของพวกเจ้าตอนไล่จับนางหรือไม่”
เหล่าปีศาจภูเขาประสานเสียงตอบ “เรียนไต้อ๋อง เป็นพวกเรายิงเอง!”
“เป็นฝีมือธนูของใครที่แม่นยำเช่นนี้ ข้าไต้อ๋องจะตกรางวัลให้อย่างงาม”
“ข้าๆๆ!” เสียงแย่งความชอบดังเป็นระลอกอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดล้วนบอกว่าเป็นตนเอง
ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกคลี่ยิ้มบางๆ “เช่นนั้นก็ตกรางวัลให้ทั้งหมดเลยแล้วกัน รางวัลก็คือห้ามพวกเจ้ากินอาหารเป็นเวลาสามวัน”
“หา?” เหล่าปีศาจภูเขาทึ่มทื่อไปทันที
ท่ามกลางความเงียบกริบและซึมเซาราวกับไร้ชีวิตนั้น พลันได้ยินเสียงประตูศิลาเปิดออกดังกังวาน ตามติดด้วยเสียงฝีเท้าอันเร่งร้อนดุจสายฝนรัวกระหน่ำ เฟิงจงถึงกับไปแล้วย้อนกลับมา
ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกรีบตรงไปต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าคิดตกแล้วสินะ เตรียมตัวจะเลี้ยงดูข้าไต้อ๋องแล้วใช่หรือไม่”
เฟิงจงไม่เหลือบแลเขาสักนิด ใบหน้าเคร่งขรึมจ้องเขม็งไปที่หลิ่วเซิง นางชูถุงฟ้าดินในมือขึ้น “หุ่นเวทที่อยู่ข้างในนี้หายไปไหนแล้ว”
นางกลับมาได้ถูกเวลายิ่งนัก หลิ่วเซิงได้รับความเจ็บปวดจากบาดแผลทั่วร่าง กำลังจะไปตามหานางเพื่อคิดบัญชีอยู่พอดี ดังนั้นจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงพุ่งไปประชิดตัวนางในพริบตา แม้เขามีร่างเป็นเซียน ทว่าวิชาอาคมที่ใช้กลับมีกลิ่นอายชั่วร้ายแผ่ซ่านไปทั่ว นิ้วมือทั้งสิบงองุ้มเข้าเป็นกรงเล็บ หอบพาไอมารตะปบตรงเข้าใส่ใบหน้าของนางทันที
เฟิงจงปาดนิ้วมือบนท่อนกระดูกก่อนจะใช้แทงตรงออกไป มือของแต่ละฝ่ายยังไม่ทันได้สัมผัส คราบโลหิตบนท่อนกระดูกก็สลายไอมารที่ปลายนิ้วของหลิ่วเซิงจนไม่เหลือ
หลิ่วเซิงรีบหดมือถึงหลบรอดจากการแทงจู่โจมนั้นมาได้ หลังอาการตื่นตระหนกใหญ่ผ่านพ้นก็คือคลื่นโทสะอันรุนแรง เขาเร่งเร้าพลังอาคมอีกคราแล้วโจมตีซ้ำอีกรอบ ทันใดนั้นประกายสีเงินพลันวาบขึ้นที่เบื้องหน้าสายตา ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกยึดกุมข้อมือของเขาไว้แล้ว ทั้งสะบัดฝ่ามือตบใส่ท้ายทอยเขาด้วยหนึ่งฉาด “เหตุใดเจ้าถึงไร้หัวคิดเช่นนี้ไปได้ แม่นางน้อยพาหุ่นเวทมาด้วย นางก็ต้องมีการใช้สอยอย่างลับๆ ที่จะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้ แต่เจ้าถึงกับทำหุ่นเวทของผู้อื่นหายไปแล้ว!”
ความดุร้ายของหลิ่วเซิงถูกเก็บงำไปจนสิ้น เขานวดคลึงท้ายทอยพลางตอบเฉไฉ “ผู้ใดจะรู้ว่านางใช่กำลังโยนความผิดมาปรักปรำกันหรือไม่ ไม่แน่ว่าตัวนางอาจนำหุ่นเวทไปซ่อนไว้แล้วมาหาความกันก็เป็นได้ ข้าน้อยไม่เคยเห็นหุ่นเวทอันใดนั่นเลยขอรับ”
ขณะจะต่อว่าด้วยโทสะ เฟิงจงพลันสังเกตเห็นว่าเชือกมัดเซียนที่ควรยังอยู่บนร่างของไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกได้หายไปแล้ว นางจึงตื่นตัวถอยหลังไปหนึ่งก้าว หมายกลับเข้าสู่ทางเดินที่เชื่อมต่อกับปากถ้ำ
หลิ่วเซิงมองเห็นอย่างรวดเร็ว ร่างเขาจึงขยับวูบไปขวางปากทางเดินไว้ “คิดหนีหรือ มนุษย์เช่นเจ้ากระทั่งเชือกมัดเซียนก็ยังมีในครอบครอง ของวิเศษอื่นก็ต้องมีอีกเป็นแน่ วันนี้ข้าจะให้เจ้าคายออกมาทั้งหมดเลย!”
เหล่าปีศาจภูเขาที่อยู่ด้านข้างพากันเอ่ยคล้อยตาม “พูดได้ถูกต้อง ชิงของวิเศษจากนาง แล้วก็ฆ่านางเอาเนื้อมากินกัน!”
พอได้ยินว่าพวกมันจะฉกชิงอาหารกับตนอีกแล้ว ฉยงฉีก็ร้องพูชืออย่างฉุนเฉียว แต่น่าเสียดายที่เสียงของมันถูกกลบหายไปท่ามกลางเสียงอึกทึกรอบด้าน
“หุบปาก!” แววตาดั่งมีระลอกน้ำของไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกเพียงกวาดมา ทั้งหมดก็เงียบกริบไปทันที “หากปราศจากปราณมนุษย์หล่อเลี้ยง ข้าไต้อ๋องก็จะต้องตกชั้นจากเซียนไปเป็นมารแล้ว ในหัวของพวกเจ้าก็รู้จักแต่กินๆๆ”
หลิ่วเซิงพองแก้มแล้วงึมงำเสียงเบา “เช่นนั้นก็เร้นกายเข้าสู่วิถีมารเหมือนอย่างข้าน้อยเสียสิ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ไหนๆ ที่นี่ก็เป็นแดนฮุ่นตุ้นอยู่แล้ว”
เพิ่งจะงึมงำจบ ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกก็โผล่ขึ้นที่เบื้องหลังของเขาพร้อมกระแอมด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ก่อนจะยกฝ่ามือประทับไปบนท้ายทอยของเขาอีกหนึ่งฉาด “เจ้านึกว่าข้าไร้หลักการเหมือนกับเจ้าหรือ”
หลิ่วเซิงกอดศีรษะแล้วทำตัวลีบแนบติดกับผนังทางเดิน