ภูตยักษ์วนเวียนอยู่นอกข่ายอาคม เสียงของอวี้ถูที่ส่งออกมาขาดเป็นห้วงๆ คาดว่าศึกที่ทะเลเขี้ยวพิโรธเขาคงได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน “เรื่องของพิภพมนุษย์ยังไม่ต้องเอ่ยถึง เดิมทีข้าก็ไม่ปรารถนาให้เจ้าไปยืมวิสุทธิ์โลหิตของผู้อื่นอยู่แล้ว ข้ารู้ว่าการยืมวิสุทธิ์โลหิตนั้นเป็นเช่นไร เจ้าจำเป็นต้องใช้แจกันหยกสีน้ำเงิน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะต้องมีทายาทตามมาด้วย ข้าไม่ต้องการให้พิภพสวรรค์ที่เสื่อมถอยลงทุกวันได้มีเทพเซียนใหม่ถือกำเนิดขึ้นอีก”
เฟิงจงแค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา “สิ่งที่เจ้ารู้ออกจะมากไปสักหน่อยแล้ว”
ตอนนี้เองฉยงฉีพลันกระโจนเข้าใส่ด้านหลังของภูตยักษ์ แล้วตะปบหนึ่งอุ้งเท้าเข้าที่ต้นคอของมัน
อวี้ถูจึงควบคุมภูตยักษ์ให้หมุนกายขวับ พร้อมทั้งเงื้อแขนขึ้นสูงเตรียมจะฟาดลงไป ทันใดนั้นบนยอดเขาเบื้องหลังก็มีเงาดำอีกสายกระโดดลงมาแล้วพุ่งตรงไปหาฉยงฉี เงาดำที่มาใหม่ถึงกับสูงใหญ่เท่าภูตยักษ์ทีเดียว
นึกอย่างไรเฟิงจงก็นึกไม่ถึงว่าขุนพลภูตที่กลายร่างมาจากวิญญาณร้ายเช่นนี้จะโผล่มารวดเดียวถึงสองตนได้ นางจึงร้องเรียกฉยงฉีทันที “รีบหลบเร็วเข้า!”
พร้อมๆ กับเสียงร้องของนาง เงาดำใหญ่มหึมาที่เพิ่งมาใหม่สายนั้นก็ข้ามผ่านตัวฉยงฉีไป แล้วโถมกระแทกเข้าใส่ภูตยักษ์ตัวแรกจนอีกฝ่ายล้มคว่ำกับพื้นในคราวเดียว
เฟิงจงมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าสายตาอย่างตกตะลึง รอจนสูดดมกลิ่นอายแล้ว นางถึงพบว่าเงามหึมานั้นแม้จะเป็นวิญญาณเช่นเดียวกัน ทว่าไม่มีปราณอินจากตำหนักยมโลกแม้แต่น้อย คล้ายกับเป็นวิญญาณที่ร่อนเร่พเนจรอยู่ภายนอก ไม่รู้เหตุใดเงามหึมานี้ถึงได้มาช่วยนาง
ภูตยักษ์กับเงามหึมานั้นโจมตีกันพัลวัน เงามหึมาเคลื่อนไหวปราดเปรียวยิ่ง สองแขนที่รัดภูตยักษ์ไว้กดร่างมันลงไปอย่างหนักหน่วง แทบจะบดขยี้อีกฝ่ายจนกลายเป็นก้อนทีเดียว ฝ่ายฉยงฉีเองก็รุกประชิดมาจากด้านหลัง มันขยายช่วงท้องให้ใหญ่ขึ้น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก อ้าปากกว้างดูดกลืนวิญญาณของภูตยักษ์เข้าปากไปต่อหน้าต่อตาเฟิงจง
เพลิงภูตสีฟ้าสองกลุ่มมุดออกจากปากของฉยงฉีได้ทันพอดี เสียงของอวี้ถูกระจายอยู่ท่ามกลางสายลม “หรือผู้ช่วยของเจ้าก็คือวิญญาณร่อนเร่ตนนี้? เอาเถอะ วันนี้สังหารเจ้าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรพิภพสวรรค์ก็โกลาหลไปทั่วแล้ว”
พร้อมกับที่ถ้อยคำสุดท้ายนั้นเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน ฉยงฉีก็ดูดกลืนภูตยักษ์เข้าสู่ท้องไปทั้งหมดแล้ว กระทั่งเงามหึมาตนนั้นก็ยังเกือบถูกมันดูดจนซวนเซไปเบื้องหน้าสองก้าว เงามหึมาจึงต้องรีบกลับหลังหันหลบหนี ทว่าเพิ่งจะออกวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวมันก็ชะงักฝีเท้า ใบหน้าหยุดไปทางเฟิงจงชั่วครู่ คล้ายกำลังมองนางอยู่ จากนั้นจึงขยับร่างวูบหนึ่ง พลันหายวับไปไม่เห็นร่องรอยอีก
เฟิงจงรีบวิ่งออกมาจากข่ายอาคมตามจิตใต้สำนึก ความรู้สึกชอบกลท่วมท้นจิตใจ…ไฉนจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายคล้ายรู้จักข้าเล่า