ตงฟางไม่ได้ดื่มสักอึก รู้สึกเพียงว่าการจะพบเฉิงตั๋วสักครั้งช่างยุ่งยากนัก ในเมื่อยุ่งยากเช่นนี้ก็ไม่ต้องพบแล้วเสียเลย ชั่วขณะหนึ่งพลันหงุดหงิดขึ้นมา แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านนอก “หลี่หมัวมัวมาแล้ว”
ทุกคนเดินไปยืนนิ่งอยู่ด้านข้างอย่างเรียบร้อย ก่อนจะมีหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้าประตูตำหนักมาช้าๆ
หญิงวัยกลางคนผู้นี้อายุราวสี่สิบกว่าปี สวมชุดดูมีสง่าราศี ทว่าสีหน้ากลับเข้มงวดเกินไป เสมือนตั้งใจบ่งบอกว่านางมีลำดับอาวุโสมากแล้ว เมื่อนางยืนอยู่ที่นั่น บรรดาข้ารับใช้ต่างก็ไม่กล้ากระทั่งจะหายใจแรง
ตงฟางพลันเหลือบไปเห็นว่าที่ด้านหลังนางมีเงาร่างสีเหลืองขนห่านติดตามอยู่ กลับเป็นฉาฉาที่ยืนถือถาดอยู่ข้างหลัง เขาเดินเตร่มาค่อนวัน ในที่สุดก็ได้เจอคนคุ้นหน้า ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง ชุดสีขาวตัวนั้นของฉาฉาไม่อาจสวมใส่ในจวนอ๋องแห่งนี้ เพราะหากไม่ได้กำลังไว้ทุกข์จะไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้สวมชุดขาว กระนั้นนางที่เปลี่ยนมาสวมชุดสีเหลืองขนห่านตัวนี้ก็ดูเหมาะสมเข้ากัน น่ามองอย่างยิ่ง ตงฟางอดมองอยู่นานไม่ได้ เขาคิดไม่ถึงว่าเฉิงตั๋วจะพานางกลับมาด้วย
ฉาฉาประหลาดใจที่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นตงฟาง ถึงแม้จะไม่ได้ยิ้ม แต่ในก้นบึ้งดวงตาก็มีแววยิ้มเล็กๆ
หลี่หมัวมัวกระแอมไอเบาๆ ถลึงตาใส่นางคราหนึ่ง ฉาฉารีบร้อนก้มหน้าลงอย่างรู้ความ ตงฟางคิดในใจว่าคราวนี้แย่แล้ว แม้ฉาฉาจะไม่มีตำแหน่ง ฐานะต้อยต่ำ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคนของเฉิงตั๋ว ตนไม่ควรมองแม้แต่ครั้งเดียว ตัวเขาเองไม่เป็นอะไร แค่กลัวว่าฉาฉาจะมีปัญหา จึงชิงทำความเคารพหมัวมัวผู้ที่ดูเข้มงวดผู้นี้ก่อน
ข้ารับใช้หญิงที่ยกน้ำชามาให้เขาเมื่อครู่เดินเข้าไปรายงานเรื่องตงฟาง หลี่หมัวมัวสั่ง “เช่นนั้นเจ้าก็พาเขาไปรอที่ห้องน้ำชาของท่านอ๋อง” นางพูดไม่ช้าไม่เร็ว มีความน่าเกรงขามชนิดหนึ่งในน้ำเสียง พูดจบก็เดินตรงไปที่เรือนด้านหลังแห่งนั้น ฉาฉาไม่กล้าแม้แต่จะช้อนสายตาขึ้นมองอีก เดินยกถาดตามนางไป รอจนนางเดินผ่านไป ข้ารับใช้หญิงผู้นั้นถึงได้เดินนำตงฟางออกไป ผ่านทางเดินหินเส้นเล็ก ผ่านหมู่ดอกไม้ต้นไม้ เดินไปครึ่งค่อนวันกว่าจะทะลุผ่านประตูชั้นในบานหนึ่ง จากนั้นจึงเป็นระเบียงข้างตำหนักหลายตำหนัก
เพิ่งเดินเข้าไปใกล้ระเบียงแห่งนั้นก็ได้ยินเสียงสตรีผู้หนึ่งพูดกลั้วหัวเราะ “ท่านไม่ได้เห็นสีหน้าของเสด็จพี่ในวันนั้น ทรงแทบอยากจะติดปีกให้ข้าแล้วส่งข้ากลับไปหาประมุขข่านหูตี๋ทันที ในใจข้าโมโหนัก ต่างเป็นพี่ชายเหมือนกัน แต่เหตุใดเสด็จพี่จึงเป็นเช่นนั้น ข้าบอกว่าไม่ทันแล้ว ตอนนี้พี่ห้าทำสงครามขึ้นมาแล้ว” เสียงของสตรีผู้นั้นไพเราะอ่อนหวาน ฟังรื่นหูยิ่ง
ได้ยินเพียงเสียงเฉิงตั๋วพูดว่า “ระยะนี้เสด็จพี่รองก็ยุ่งวุ่นวายกับหลายเรื่อง เจ้าอย่าได้กล่าวโทษพระองค์ ทั้งหมดล้วนเป็นพวกตาแก่เหล่านั้นที่ส่งเสริม”
ข้ารับใช้หญิงผู้นั้นปล่อยให้ตงฟางรออยู่บนระเบียง ส่วนตนเข้าไปฝากฝังเขากับสาวใช้ที่ยืนรอปรนนิบัติอยู่ที่ระเบียง จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปแล้ว สาวใช้เชิญตงฟางไปนั่งในห้องด้านข้าง ทว่าเขากลับไม่ยอมไป เอาแต่ยืนอยู่ที่ระเบียง สาวใช้ลำบากใจอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่กล้าผลีผลามเข้าไปรายงาน ได้แต่ปล่อยให้เขายืนอยู่ตรงนั้น ตงฟางจึงได้ยินเสียงสตรีภายในห้องเอ่ยหยอกเย้าเฉิงตั๋วขึ้นอีก “ท่านไม่ได้หมายถึงอัครเสนาบดีเซียวใช่หรือไม่”
ทุกคนต่างรู้ว่าอัครเสนาบดีเซียวเป็นพ่อตาของเฉิงตั๋ว แม้ชายาเอกเซียวจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรเฉิงตั๋วก็ไม่ได้แต่งตั้งชายาเอกคนใหม่ ความสัมพันธ์ทางการแต่งงานก็ขจัดไปไม่พ้น แต่เซียวอวิ๋นซานและเฉิงตั๋วทั้งสองคนก็ปรองดองกันไม่ได้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนในราชสำนักล้วนรับรู้
ดูเหมือนเฉิงตั๋วจะไม่อยากคุยเรื่องนี้ จึงพูดขึ้นว่า “เจ้าเองก็นับว่าเป็นตัวหายนะของเมืองหลวง หนนี้เห็นอยู่ว่าจากไปไกล นึกไม่ถึงว่าจะกลับมาอีก เจ้าจะทำให้บรรดาคุณชายทั้งสุขทั้งทุกข์ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากเท่าใดกัน”
ตงฟางลอบคาดเดาได้แล้วว่าสตรีที่กำลังพูดอยู่ คือองค์หญิงสิบสามเฉิงจิ่นที่ต้องไปแต่งงานก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเขายิ่งเดาออกนานแล้วว่าสตรีนางนี้ก็คือสตรีที่คลุมหน้าด้วยผ้าโปร่ง ผู้ซึ่งส่งข้ารับใช้มาสร้างความลำบากให้เขาด้านนอกจวนเมื่อครู่