ตงฟางยกมือขึ้น “ไม่แล้ว ท่านผู้เฒ่ารีบเข้าไปพักผ่อนเถอะขอรับ ช่วงนี้ระมัดระวังตัวให้มาก” ชายชราถอนหายใจ เอ่ยขอบคุณเขา ก่อนจะยกตะกร้ามุดเข้าไปในประตูรั้วบานนั้น
ตงฟางตวัดกายขึ้นหลังม้า ไม่พูดอะไรอีก ทันทีที่ออกแรงหนีบท้องม้า ม้าก็วิ่งตะบึงออกไป ครั้นเดินทางมาจนยามพลบค่ำถึงได้เห็นบ้านคนอีกครั้ง พวกเขาพักผ่อนหนึ่งคืนจึงค่อยเดินทางต่ออีกหนึ่งวัน กระทั่งมาถึงเมืองหลวง
ทัศนียภาพของเมืองหลวงย่อมต่างไปจากที่อื่น ไม่เพียงมีกำแพงเมืองตั้งสูงตระหง่าน ผู้คน วัฒนธรรมภายในเมืองก็แตกต่างอย่างมาก ไม่เหมือนผู้คนชายแดนทางเหนือที่ห้าวหาญซึ่งมักพกกระบี่ติดตัว ตงฟางเดินจูงม้าไปบนถนนอันเจริญรุ่งเรือง ในคลองจักษุเต็มไปด้วยชุดผ้าไหมแพรพรรณ ติงจื่อไม่เคยเห็นเมืองใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน จึงชะเง้อชะแง้คอมองไปทั่ว อยากรู้อยากเห็นอย่างมาก ตงฟางซื้อน้ำตาลปั้นให้เขากิน ตอนเย็นก็เลือกหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเข้าพัก
รุ่งสางวันต่อมาเพิ่งจะพ้นยามเหม่า ตงฟางตื่นขึ้นมาแต่เช้า ยังคงพาติงจื่อไปด้วย หลังเดินเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปครึ่งชั่วยามก็มาถึงที่ทำการแห่งหนึ่ง ติงจื่อเงยหน้าขึ้นอ่านตัวอักษรข้างบนนั้น นึกไม่ถึงว่าจะอ่านออกทั้งหมด เขาพูดออกมาทีละตัวๆ “สำนักโหราจารย์”
ตงฟางยิ้มน้อยๆ เดินเข้าไปพูดบางอย่างกับทหารยาม ทหารยามจึงปล่อยให้พวกเขาเข้าไป
ด้านในเป็นทางเดินยาวเส้นหนึ่ง สองข้างทางปลูกต้นไม้สูงเสียดฟ้าเอาไว้หลายต้น ที่อยู่ตรงหน้าเป็นเรือนใหญ่โตหลังหนึ่ง มีผู้ดูแลนั่งอยู่ข้างใน ตงฟางให้ติงจื่อลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้าไปคุยกับเขา คนผู้นั้นชี้บอกทางให้ ตงฟางหันกลับมาบอกให้ติงจื่อเดินต่อ เดินทะลุผ่านประตูเล็กไปจนถึงยังหอคอยแห่งหนึ่ง
ตงฟางเดินขึ้นบันไดไปช้าๆ กลับเห็นประตูลงกลอนสนิท บนเสาไม้ใต้ระเบียงติดกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้ ตงฟางขมวดคิ้ว หยิบลงมาอ่าน บนกระดาษเขียนบทกลอนสั้นๆ เอาไว้บทหนึ่ง ‘ทุ่งราบก่อกำแพง ห่านป่าแดงร่อนลงเกาะ หนึ่งวันคืนร้องจำเพาะ เพียงครวญคร่ำไม่เอ่ยคำ’
ตงฟางอ่านไปหนึ่งรอบก็ยิ้มออกมาน้อยๆ พอหันกลับไปเห็นติงจื่อมองมาที่ตน จึงส่งกระดาษให้เขาพร้อมถาม “หนนี้ยังอ่านออกหรือไม่” ติงจื่อตั้งอ่านตะแคงอ่านอยู่นานครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบ “ไม่ได้อ่านออกทั้งหมดขอรับ มันพูดถึงอะไรหรือขอรับ”
ตงฟางจูงเขาพาเดินกลับไปตามเส้นทางเดิม “พูดถึงว่ามีคนกำลังก่อกำแพง จู่ๆ ก็มีห่านป่าสีแดงตัวใหญ่มาเกาะอยู่ข้างบน ส่งเสียงร้องแหลมหนึ่งวันหนึ่งคืน ฟังดูโศกเศร้าอย่างมาก”
“ห่านป่าตัวนั้นน่าชังจริง ว่าแต่ ท่านตงฟาง พวกเราจะไปที่ใดกันหรือขอรับ”
ตงฟางเอ่ย “ไปหาผู้ที่ทิ้งข้อความนี้เอาไว้ให้ข้า”
ทั้งสองคนขึ้นหลังม้ามุ่งตรงไปทางใต้ หลังเดินทางอีกกว่าครึ่งชั่วยามก็ออกจากตัวเมืองอันคึกคัก ค่อยๆ มุ่งหน้าตามสวนผักไปยังกระท่อมร้านยาแห่งหนึ่ง ประตูไม้ไผ่เปิดแง้มเอาไว้ ตงฟางผลักเปิดเข้าไป ภายในลานบ้านมีชั้นวางสมุนไพรตากแดด ประตูด้านในปิดสนิท ตงฟางจึงเดินอ้อมตัวบ้านไปยังลานด้านหลัง ที่ใต้ซุ้มดอกสายน้ำผึ้งมีผู้เฒ่าผมหงอกขาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ เขาสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย อายุประมาณหกเจ็ดสิบปี กำลังคัดสมุนไพรอยู่ในกระด้งใบใหญ่
ตงฟางเดินตรงไปข้างหน้าสองก้าว จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนคารวะ “ท่านอาจารย์”
ทันทีที่ผู้เฒ่าเห็นตงฟางก็ยิ้มพร้อมลุกขึ้นยืนแล้วก้าวมาจับตัว “ข้าหลงคิดว่าเจ้าจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวานเสียอีก คงมิใช่ว่ากลอนบทนั้นทำให้เจ้าต้องครุ่นคิดถึงหนึ่งวันจึงจะเข้าใจหรอกนะ” ชายชราผู้นี้ก็คือหัวหน้าสำนักโหราจารย์ ราชครูสุ่ยจิ้งนั่นเอง
“แม้ศิษย์จะไม่ได้รับการสั่งสอนมาหลายปี แต่ก็ไม่ถึงขั้นโง่งมเพียงนั้น ระหว่างทางมีเรื่องทำให้เสียเวลา เมื่อวานกว่าจะเข้าเมืองก็มืดค่ำแล้ว เช้าวันนี้ไปขอเข้าพบท่านอาจารย์ที่สำนักโหราจารย์ถึงได้พบข้อความที่ทิ้งไว้” ตงฟางเอ่ยจบก็นำกระดาษแผ่นนั้นออกมา “ก่อกำแพงบนทุ่งราบ ต้องมีดิน (土) จึงจะสำเร็จ (成) ทั้งความหมายและรูปลักษณ์ต่างสื่อถึงอักษรเมือง (城) ส่วนห่านป่าแดงนั้นหมายถึงหงส์ชาด สัตว์เทพประจำทิศใต้ (南) หนึ่งวันคืนหมายถึงหนึ่งวัน (一日) รวมเป็นอักษรเก่า (旧) ใน ‘ตำราไสยเวท’ เขียนเอาไว้ว่าสัตว์ทั้งหลายได้แต่เปล่งเสียงร้องทว่าไม่อาจพูด ด้วยเหตุที่มีลิ้นต่างจาก ‘ลิ้นมนุษย์ (人舌)’ ดังนั้นบทกลอนทั้งสี่วรรคจึงหมายถึง ‘บ้านพักเก่าทางใต้ของเมือง’ (城南旧舍)”
สุ่ยจิ้งลูบเครา พยักหน้า “ไม่เลวๆ แล้วนั่นเป็นผู้ใดกัน”
“อ้อ” ตงฟางหันมากวักมือเรียกติงจื่อ “เด็กคนนี้เป็นขอทานที่ข้าพบบนถนน ไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ เขารู้จักอักษรอีกทั้งยังมีไหวพริบ สามารถรับเป็นเด็กรับใช้ของท่านอาจารย์ได้หรือไม่ขอรับ”