บทที่เก้า
เย็นวันนี้เฉิงซั่วมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงในพระราชวัง ตรัสว่าเป็นการฉลองที่เฉิงตั๋วได้รับชัย ทั้งยังตรงกับวันชาติ สมควรแก่การเฉลิมฉลองเล็กๆ อย่างไรก็ตามการเฉลิมฉลองเล็กๆ นี้กลับไม่ได้เล็กจริงๆ ขุนนางในราชสำนัก รวมไปถึงตระกูลสูงศักดิ์ทุกตระกูลล้วนมาเข้าร่วม ตงฟางได้ที่นั่งในตำแหน่งด้านหลังสุด เดิมทีเขามานั่งด้วยใจอยากรับชมความครึกครื้น ทว่ากลับถูกความครึกครื้นนี้ก่อกวนจนทนไม่ไหวขึ้นมา บนเวทีเป็นการบรรเลงดนตรีไม่ขาดตอน ล่างเวทีเป็นการยกจอกสุราคารวะกันไม่เลิก ทั้งบนทั้งล่าง ตงฟางมองไม่เห็นถึงความเจ็บปวดของพระราชโองการตำหนิพระองค์เองเลยแม้แต่น้อย
โชคดีที่รสสุราในวังยังนับว่าดี เขาหันหน้าไปก็บังเอิญเห็นจ้าวสุ่น จ้าวสุ่นชูจอกสุราให้เขา ตงฟางจึงชูตอบ ทั้งสองคนต่างดื่มหมดจอก คราวนี้จ้าวสุ่นก็เดินทางกลับมาพร้อมเฉิงตั๋ว แต่ปกติมักจะอยู่ในจวนของตัวเองเลยไม่ได้พบหน้ากัน
ยามที่เสวยน้ำจัณฑ์ไปได้สักพัก เฉิงซั่วก็ทรงนึกอารมณ์ดี สั่งให้ขุนนางบุ๋นแต่งกลอน ขุนนางบู๊รำกระบี่ เรื่องสร้างความบันเทิงให้ทุกคนประเภทนี้ ผู้ที่มีหน้ามีตามีฐานะส่วนใหญ่ไม่มีทางลงมือ ดังนั้นขุนนางบู๊ระดับล่างบางส่วนจึงผลัดกันออกมารำกระบี่ไม้ พอรับชมแก้เบื่อได้
ตงฟางมองบรรยากาศร่ำสุราคลอเสียงดนตรี ผู้คนสวมอาภรณ์ประทินโฉมฉูดฉาด ก็รู้สึกไม่เข้าหูเข้าตาอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาสตรีในวังหลังยังคอยแอบส่งสายตาให้เขาอยู่เรื่อย ตงฟางพลันนึกถึงท้องทุ่งเงียบสงบในหุบเขาไร้นามทางตะวันตกของเมืองผิงเหยา เมื่อมองเบื้องหน้าอันรุ่งเรืองโอ่อ่า ในใจก็ลอบคิดว่านี่หรือคือสิ่งที่ตนต้องการ ครั้นคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกหงุดหงิดกลัดกลุ้มขึ้นมา
เขาพลันเหลือบไปเห็นเฉิงจิ่นนั่งดื่มอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่ได้สนทนากับผู้ใด ก็ให้รู้สึกว่านางช่างเสแสร้งทำตัวสูงส่งเป็นที่สุด จากนั้นก็นึกถึงสายตาที่นางใช้มองตนยามแรกพบตอนที่อยู่ด้านนอกจวนจิ้งหย่วนอ๋อง ภายหลังเขายังได้ยินนางหัวเราะเยาะคนที่แต่งกลอนให้ ตงฟางจึงหยิบพู่กันขึ้นมา แต่งกลอนยาวบทหนึ่งแล้วส่งเข้าไปรวมข้างหน้า
ขันทีถวายบทกลอนที่แต่ละคนแต่งขึ้นไปให้ฮ่องเต้ เฉิงซั่วกวาดพระเนตรมองผ่านๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นกลอนยอพระเกียรติ จึงแค่พยักพระพักตร์ ตรัสว่า “ไม่เลว ขุนนางทุกท่านล้วนมีความสามารถ” แล้วก็ยื่นส่งไปให้ฮองเฮาทรงชื่นชม จากนั้นถึงส่งต่อไปถึงมือเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงคนอื่นๆ
เฉิงจิ่นหยิบขึ้นมาอ่านด้วยเช่นกัน ทันใดนั้นก็เห็นว่าในบรรดากลอนทั้งหลายมีกลอนโบราณ ‘บทสรรเสริญต้นหลิว’ อยู่ด้วยบทหนึ่ง แม้หัวข้อจะคร่ำครึโบราณ เนื้อหากลับละเอียดอ่อน จึงหยิบขึ้นมาอ่าน กลอนบรรยายถึงต้นหลิวที่ไหวพลิ้วไปตามกระแสลม ค่อนข้างน่าสนใจ ทว่าการชื่นชมจนต้นหลิวดูสูงส่งมิสามัญเกินไป กลับทำให้ดูเสแสร้งมากกว่า วรรคสุดท้ายกลอนเขียนไว้ว่า ‘แสงตะวันมิทอถึงกิ่งโคนปลาย แสงงามพรายมิสลายล้างฝุ่นผง มรกตประดับเงาอ่อนเอวองค์ เหตุใดดวงตานางมิปรายมอง’
เฉิงจิ่นอ่านไปรอบหนึ่ง ในใจเกิดความสงสัยขึ้นมา พอเห็นชื่อที่ลงนามไว้เป็น ‘ซั่นฉีฉางซื่อตงฟางฮู่’ นางจึงเงยหน้ามองตงฟางที่ตำแหน่งด้านหลังงานเลี้ยงคราหนึ่ง ตงฟางพยักหน้ายิ้มน้อยๆ ตอบ เฉิงจิ่นบังเกิดโทสะขึ้นมาทันใด เขากำลังลอบเย้ยหยันว่านางมองสูง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่เข้าตา ซ้ำยังนำต้นหลิวซึ่งเป็นพืชธาตุน้ำทั่วไปมาเปรียบเทียบ นี่มิใช่เป็นการบอกว่านางชั้นต่ำ เล่นกับความรู้สึกผู้อื่นหรอกหรือ แต่เขาก็ไม่ได้สื่อออกมาตรงๆ จึงทำให้มีเพียงนางผู้เดียวที่รู้ความหมาย
เฉิงจิ่นถือกลอนแผ่นนั้นเอาไว้ครู่หนึ่ง ตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง จึงยกจอกสุราขึ้นเม้มปากจิบไปหนึ่งอึก ก่อนจะวางจอกลงอย่างแรง
ระบำจบไปหนึ่งบทเพลง เสียงปี่ เซิง และเซียว หยุดลง จู่ๆ เฉิงจิ่นก็ลุกขึ้นยืน หันไปทางบัลลังก์ทอง กล่าวว่า “วันนี้เสด็จพี่ทรงมีพระอารมณ์สุนทรีย์จัดงานเลี้ยง แม้น้องสาวไร้ความสามารถ แต่ก็เต็มใจแต่งกลอนถวาย สร้างความรื่นเริงเพคะ”
เฉิงตั๋วได้ยินก็ลอบประหลาดใจ ปกติเฉิงจิ่นไม่ใช่คนชอบโอ้อวด แต่เหตุใดวันนี้จึงได้เข้าร่วมสร้างความครึกครื้นด้วยเล่า