X
    Categories: LOVEทดลองอ่านทิวาหลอมทราย ชุด ม่านรักฐานันดร

ทดลองอ่าน ทิวาหลอมทราย ชุด ม่านรักฐานันดร บทที่ 2-บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 15

บทที่ 2

ใครคนหนึ่งซึ่งลืมไม่ลง

บ้านของทิวาเป็นบ้านสีขาวที่ดูทันสมัยหลังใหญ่ ตั้งอยู่บนพื้นที่สองงานกว่าๆ รอบบ้านมีสนามหญ้าสีเขียวสบายตา ด้านหลังมีต้นไม้และปลูกผักสวนครัวหลายอย่าง ด้านหน้าปลูกต้นไม้น้อยใหญ่ รวมทั้งไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิด เพราะ ‘ลดา’ มารดาของเขาเป็นคนรักต้นไม้

ที่ดินผืนนี้ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า เป็นสมบัติที่บิดาทิ้งไว้ให้ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต เมื่อก่อนบ้านของทิวาเป็นบ้านไม้หลังเล็กทั้งเก่าและซอมซ่อ แต่หลังจากที่ชายหนุ่มประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนและเก็บเงินได้ก้อนใหญ่ เขาก็ต่อเติมบ้านใหม่จนกลายเป็นบ้านหลังปัจจุบัน

อันที่จริงจะบอกว่าต่อเติมก็ไม่ค่อยถูกนักเพราะถ้านำภาพมาเปรียบเทียบกันแล้วมันเหมือนทิวาสร้างบ้านใหม่บนพื้นที่เดิมเลยทีเดียว

“เขียนงานไม่ออกอีกแล้วเหรอลูก”

เสียงของลดาทำให้หนุ่มร่างสูงที่ยืนสูบบุหรี่พิงเสาเทอร์เรซในสวนหน้าบ้านถึงกับสะดุ้งเบาๆ ทิวาหันมายิ้มบางๆ ให้กับมารดาขณะที่มือใหญ่ดับบุหรี่กับที่เขี่ยบุหรี่ใกล้ๆ เพราะเขาไม่อยากให้ท่านต้องสูดดมสารพิษจากบุหรี่ด้วย ความจริงทิวาไม่ใช่คนติดบุหรี่ เขาจะหยิบมันขึ้นมาสูบบ้างเวลาที่เคร่งเครียดหรือคิดงานไม่ออกเท่านั้น อีกทั้งยังตั้งใจว่าจะเลิกบุหรี่ตามคำขอของมารดา แต่เขาก็ยังเลิกไม่ได้สักที

“ตันมาหลายวันแล้วครับ”

ชายหนุ่มตอบพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ เพราะมารดาเดาถูกซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ด้วยว่าสาเหตุที่ทำให้เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบนั้นมีเพียงไม่กี่อย่าง และสาเหตุหลักก็มาจากการเขียนงานไม่ออกนั่นเอง

“แม่เอากาแฟกับบราวนี่มาให้ทิวาลองชิม”

ลดาบอกพร้อมรอยยิ้มเผื่อจะทำให้ลูกชายอารมณ์ดี

“แม่เพิ่งลองหัดทำ ถ้าอร่อยก็ว่าจะทำไปฝากร้านกาแฟหน้าปากซอยขาย เขาบอกว่าคุกกี้ขายดีมาก อยากให้แม่ลองทำอย่างอื่นไปเพิ่ม แม่ว่าจะลองทำพวกชีสเค้กด้วยนะ ลูกค้าน่าจะชอบ”

“ขยันจังเลยครับ แต่ผมบอกหลายครั้งแล้วว่าแม่ไม่ต้องเหนื่อยทำขนมขาย ผมก็ดูแลแม่ได้” ทิวาบอกอย่างอ่อนใจที่ห้ามมารดาไม่ได้เลย “คนอื่นเขามีแต่อยากอยู่บ้านเฉยๆ สบายๆ แต่แม่นี่นะ”

“ดุแม่อีกแล้ว” ลดายิ้มขบขัน

ในอดีตครอบครัว ‘วงศ์เทวา’ ค่อนข้างลำบาก สามีท่านเป็นเพียงข้าราชการเงินเดือนน้อย ท่านก็เลยต้องหารายได้เสริมด้วยการทำขนมขาย ทั้งขนมไทยขนมฝรั่ง ทิวาเห็นมารดาลำบากมาตลอด เขาสัญญากับท่านว่าจะทำทุกอย่างให้ครอบครัวได้อยู่อย่างสุขสบาย และเขาก็สามารถทำได้อย่างที่พูดจริงๆ

เพียงแต่ว่าท่านไม่อยากอยู่เฉยๆ เพราะมันทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า อย่างน้อยๆ ให้ท่านได้หยิบจับงานบ้าง หารายได้เป็นค่าน้ำค่าไฟช่วยลูกบ้าง ก็ทำให้ท่านมีความสุขและสบายใจแล้ว

“แม่รู้ว่าวาเลี้ยงแม่ได้ แต่แม่เคยทำงานมาตลอด จะให้อยู่บ้านเฉยๆ แม่ทำไม่ได้หรอก”

“แม่ก็พูดอย่างนี้ตลอดเลยนะครับ ผมเป็นห่วงแม่นะรู้มั้ย”

“วาไม่ต้องห่วงแม่หรอกลูก” ลดายิ้มบางๆ ท่านรับรู้ได้ถึงความห่วงใยจากลูกชายเป็นอย่างดี “แม่รู้กำลังของตัวเองดี ที่ทำอยู่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร ทำแก้เบื่อไปตามประสาคนแก่เท่านั้นแหละ อีกอย่างถ้าแม่เลิกทำ แทนที่ร้านกาแฟเขาจะได้กำไรนิดๆ หน่อยๆ จากการวางขายขนมเรา เขาก็จะขาดรายได้ส่วนนี้ และลูกค้าที่ติดขนมเราก็จะไม่ได้กินขนมอร่อยๆ วาห้ามแม่ไม่ให้ขายขนมแบบนี้มันบาปนะ”

“อ้าวแม่…”

‘คนบาป’ เท้าเอวมองมารดา

“แม่ล้อเล่นจ้ะ”

ลดาหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าของลูกชายที่จู่ๆ ก็กลายเป็นคนบาปเสียอย่างนั้น

“ทุกวันนี้วาก็ประสบความสำเร็จแล้ว งานติดตลาดแล้ว บ้านก็ทำเสร็จแล้ว รถก็มีขับแล้ว แถมยังมีเงินเก็บเผื่ออนาคตแล้ว ทำไมไม่พักสมองบ้างล่ะลูก อีกอย่างแม่ก็อยากอุ้มหลานแล้วนะ วาหาแฟนได้แล้วนะลูก”

“วกมาเรื่องนี้อีกแล้ว ผมกดดันนะครับแม่” ทิวาทำหน้าท้อแท้ใจ

พอชายหนุ่มอายุขึ้นเลขสาม มารดาก็เริ่มพูดเรื่องคนรัก เรื่องลูก และเรื่องสร้างครอบครัวจนเขารู้สึกกดดันทุกครั้งแม้ว่าท่านจะพูดด้วยความนุ่มนวลก็ตาม ทิวาคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องรีบก็ได้ อีกอย่างถ้าไม่เจอคนที่ถูกใจจริงๆ เขาอยู่เป็นโสดตลอดชีวิตก็ยังได้ สมัยนี้จะอยู่เป็นโสดก็ไม่เห็นแปลกเลย

“เรานี่แปลกคน หน้าตาก็ดี ออกกำลังกายฟิตหุ่นจนดูดี แต่ก็ไม่รู้จักหาแฟน”

ลดามองลูกชายด้วยความแปลกใจ ปากทิวาบอกว่าไม่อยากดิ้นรนไขว่คว้าหาความรัก ถ้าสักวันเขาจะมีใครสักคนก็คงมีเอง และเขาอยากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ท่านกลับรู้สึกว่าคำตอบนั้นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เพราะลึกๆ ลูกชายของท่านอาจจะกำลัง ‘รอใครบางคน’

“อาชีพอย่างผมเจอใครซะที่ไหนล่ะครับแม่ ผมทำงานอยู่หน้าคอมฯ ส่งงานผ่านอีเมล นานๆ จะเจอคนจากสำนักพิมพ์ ไปงานหนังสือก็เจอแค่ บ.ก. ทีมงานไม่กี่คน และนักอ่านเท่านั้น”

“นักอ่านสาวๆ สวยๆ ไม่มีบ้างเหรอลูก”

“มีครับ แต่…ผมรู้สึกไม่โอเคเท่าไหร่”

ทิวารู้สึกว่าถ้าเขาลงเอยกับนักอ่านก็คงไม่ต่างกับดาราที่รักกับแฟนคลับซึ่งเขารู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ลึกๆ ที่สำคัญกว่านั้นเขายังไม่เจอใครที่คิดว่าน่าจะสานความสัมพันธ์ในฐานะคนรักได้

ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มตั้งใจจะไม่มีคนรัก เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาโฟกัสแค่เรื่องงานเขียนจริงๆ เพราะอยากทำหน้าที่แทนบิดาตามสัญญาที่ให้ท่านไว้ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต…

บิดาของทิวาเป็นข้าราชการตำแหน่งเล็กๆ แต่รักการอ่านมาก ในบ้านของเขาจึงมีห้องหนังสือที่เก็บหนังสือเก่าๆ ไว้มากมาย เขาติดนิสัยรักการอ่านจากท่านมาตั้งแต่เด็ก และเพราะรักการอ่านจึงอยากจะมีหนังสือเป็นของตัวเอง ใช่…เขาใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักเขียนทั้งๆ ที่ใครก็บอกว่ามันเป็นอาชีพ ‘ไส้แห้ง’

ทิวาหัดเขียนหนังสือทั้งไดอารี่ เรียงความ แต่งกลอน และบทละครมาตั้งแต่เด็ก ทว่าในช่วงนั้นยังไม่ได้เอาจริงเอาจัง แค่เขียนประกวดในงานโรงเรียนเท่านั้น

จนกระทั่งเขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยและเห็นว่ามีนักเขียนวัยรุ่นมากขึ้น วงการหนังสือเปิดโอกาสให้นักเขียนหน้าใหม่ๆ และเปิดกว้างยิ่งขึ้น เขาจึงเริ่มเอาจริงเอาจังกับการเขียนและเริ่มพัฒนาจากการเขียนบทละครกับเรียงความมาเป็นการเขียนนวนิยาย

แต่การเขียนนวนิยายสักเรื่องให้จบ ผ่านการพิจารณาของสำนักพิมพ์ และประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งในช่วงที่เขากำลังขึ้นปีสอง บิดาของเขาก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะที่สามทำให้งานเขียนของเขาต้องหยุดชะงักเพราะว่าสภาพจิตใจไม่พร้อมจะทำงาน เขาต้องดูแลบิดา ต้องคอยประคับประคองครอบครัวที่กำลังระส่ำระสาย และทำงานพิเศษหารายได้เพราะแม่ต้องดูแลพ่อจนไม่มีเวลาทำขนมขาย

มะเร็งในร่างกายของบิดาลุกลามอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถรักษาให้หายขาด โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายคุณหมอถึงกับออกปากบอกให้ทิวากับมารดาทำใจ…

จากนั้นไม่ถึงสองเดือนบิดาก็จากเขากับมารดาไปจริงๆ!

ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องมีผลงานวางในร้านหนังสือให้บิดาได้ชื่นชมสักเล่ม แต่ท่านก็เสียชีวิตไปก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จ สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้เขากับมารดาเป็นอย่างมาก ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยายามจะสานต่อความฝันในการเป็นนักเขียน

ทิวาทุ่มเทให้กับการเขียนนวนิยายจนแทบไม่มีเวลาใช้ชีวิตแบบหนุ่มสาวที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยเพราะนอกเวลาเรียนเขาจะกลับมาเขียนงานที่บ้านหรือไม่ก็เอาโน้ตบุ๊กไปเขียนงานในห้องสมุด กว่าเขาจะมีผลงานตีพิมพ์และวางขายในร้านหนังสือก็ตอนที่เขาเรียนปีสี่แล้ว

ถึงกระนั้นผลงานเล่มแรกก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

บางคนที่ใฝ่ฝันอยากมีผลงานวางขายในร้านหนังสือสักเล่ม พอทำได้ก็อาจจะพอใจแล้ว แต่ไม่ใช่ทิวาแน่นอน เพราะเขารักในอาชีพนักเขียน เขาไม่อยากให้มันเป็นเพียงอาชีพเสริม และเขาต้องการให้มันเป็นอาชีพที่สามารถเลี้ยงชีวิตเขากับแม่ได้ เขาจึงทำการบ้านอย่างหนักเพื่อให้งานประสบความสำเร็จ

ไม่ใช่แค่พยายามเขียนงานของตัวเอง แต่ทิวายังเช็กตลาดหนังสือว่าแนวไหนกำลังมาแรง แนวไหนประสบความสำเร็จ งานแบบไหนที่ได้รับความนิยม และเขาไม่ลืมที่จะศึกษางานเหล่านั้นอย่างจริงจัง

ทิวาไม่ใช่นักเขียนที่ปิดกั้นตัวเอง…

ในขณะที่นักเขียนบางคนอาจจะมีอีโก้สูงจนไม่สามารถยอมรับความสำเร็จของคนอื่นได้ และหาข้ออ้างให้กับงานที่โด่งดังหรืออยู่ในกระแสว่าเป็นแค่งานที่ ‘ฟลุก’ ดัง หรือให้เหตุผลต่างๆ นานาจนเรียกได้ว่าบางครั้งก็เผลอเหยียดงานของผู้อื่น แต่ทิวาหยิบงานทุกเรื่องที่ดังขึ้นมาอ่านเพื่อศึกษาและวิเคราะห์ว่างานเหล่านั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้างที่ทำให้ประสบความสำเร็จเพื่อนำมาต่อยอดในงานของตัวเอง

หลังจากเรียนจบทิวาใช้เวลาศึกษา ทุ่มเท พัฒนา และหาแนวทางให้กับงานเขียนของตัวเองอยู่เกือบสามปี ผลงานของเขาก็ติดท็อปอันดับหนึ่งในเว็บนวนิยายออนไลน์ หลังจากเขาอัพโหลดให้นักอ่านเข้ามาทดลองอ่านก่อนหนังสือจะวางขาย โดยแบ่งเป็นตอนย่อยๆ และขยันอัพโหลดทุกวันเพื่อให้นักอ่านเข้ามาติดตามอย่างต่อเนื่อง

‘365 วัน…ฉันกลับมาเพื่อเอาคืน’ คือชื่อของนวนิยายเรื่องนั้น

เมื่อผลงานขึ้นไปโดดเด่นเป็นอันดับหนึ่งติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือนก็ทำให้นักอ่านเข้ามาอ่านผลงานของเขามากขึ้น มีการบอกกันปากต่อปาก พอหนังสือวางขายจึงได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี

ทางสำนักพิมพ์เห็นความโดดเด่นในผลงานเขาและเห็นว่าอาจจะผลักดันให้เขาประสบความสำเร็จได้จึงช่วยส่งเสริมด้วยการส่งตัวไปสัมภาษณ์ลงเว็บไซต์นิยายออนไลน์ หนังสือพิมพ์ และรายการโทรทัศน์

‘ไม่ใช่ผู้วิเศษ’ คือนามปากกาของทิวา

ในวงการนิยายรักส่วนมากนักเขียนมักจะเป็นผู้หญิง การที่เขาเป็นนักเขียนผู้ชายจึงกลายเป็นความโดดเด่นและน่าจับตามองจนบางครั้งนักเขียนด้วยกันก็ดูถูกว่าเขาเป็นนักเขียนขายหน้าตา แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้นักอ่านที่ไม่เคยอ่านผลงานของเขา อยากจะลองหยิบมาอ่านดูสักครั้ง

นวนิยายรักที่เขียนโดยผู้ชายหลายเล่มมี ‘จุดเด่น’ คือการสร้างคาแร็กเตอร์พระเอกได้สมจริง แต่ก็มี ‘จุดอ่อน’ ที่ไม่สามารถเข้าถึงหัวใจหรือจับความต้องการของนักอ่านซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงได้

ทิวาทำการบ้านในประเด็นนี้มาเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงลิสต์คุณสมบัติต่างๆ ของพระเอกยอดนิยมในนวนิยายแต่ละเรื่องที่ประสบความสำเร็จออกมาเป็นข้อๆ เพื่อหาจุดร่วมและนำมารังสรรค์เป็นพระเอกนวนิยายของตนเอง ไม่ว่าพระเอกจะร้าย จะดี จะเป็นแบดบอย หรือคุณชายแสนดีก็ล้วนแต่จับใจนักอ่านทั้งสิ้น

นวนิยายเรื่องดังกล่าวประสบความสำเร็จจนได้รับการตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง หลังจากวางขายไม่นานนัก ก็ไปเตะตาผู้จัดละครชื่อดังจนได้รับการติดต่อขอนำไปสร้างเป็นละคร

และแน่นอนว่าทิวาไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป!

ชายหนุ่มได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้จัดละครโดยตรง เมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าเขาเรียนนิเทศศาสตร์ มีประสบการณ์ในด้านการเขียนบทภาพยนตร์และบทละครมาบ้างจึงสนใจอยากให้เขามาเขียนบทละครจากนวนิยายของตนเอง เพราะเขาน่าจะเห็นภาพและตีความออกมาได้ดีที่สุด ทิวาจึงตกปากรับคำอย่างไม่ลังเล

เหมือนทุกอย่างเป็นใจ ละคร ‘365 วัน…ฉันกลับมาเพื่อเอาคืน’ ประสบความสำเร็จจนเรตติ้งสูงเป็นอันดับหนึ่งของละครในปีนั้น นามปากกา ‘ไม่ใช่ผู้วิเศษ’ ทั้งในฐานะนักเขียนนวนิยายและนักเขียนบทละครก็กลายเป็นที่รู้จักของประชาชนอย่างรวดเร็ว

ทิวาในวัยยี่สิบเจ็ดปีมีนักอ่านแฟนคลับมากมาย เขาถูกเชิญไปบรรยายในงานหนังสือ ไปเป็นวิทยากรให้ความรู้ในมหาวิทยาลัย และไปสัมภาษณ์ลงสื่อต่างๆ อีกมากมาย

ทิวามีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นสิบเท่าเหมือนอยู่ในความฝันไม่มีผิด มีผู้จัดติดต่อมาขอซื้อนวนิยายเรื่องเก่าไปสร้างเป็นละคร และจองเรื่องที่ยังไม่ได้แต่งเอาไว้ล่วงหน้า นอกจากนี้ยังมีคนติดต่อให้เขาเขียนบทละครจากนวนิยายของนักเขียนท่านอื่นด้วยซึ่งเขาก็รับงานเอาไว้แทบทั้งหมดเท่าที่จะทำได้

ชายหนุ่มอยากสร้างเนื้อสร้างตัวและสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตจนทำงานแบบ ‘ขายวิญญาณให้ซาตาน’ เลยก็ว่าได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์นี้จะอยู่กับเขาไปอีกนานแค่ไหน เขาจำเป็นจะต้องสร้างฐานนักอ่านให้ขยายกว้างออกไปมากที่สุดและต่อกระแสให้ผลงานของตัวเองโลดแล่นอยู่ในสายตาของนักอ่านอยู่เสมอ ทิวาจึงเขียนเรื่องราวของตัวละครที่น่าสนใจจากเรื่อง ‘365 วัน…ฉันกลับมาเพื่อเอาคืน’ อีกหลายเรื่องจนทำให้คนที่กำลังอินกับละครและนวนิยายเรื่องนั้นตามมาอ่านต่อจนครบทุกเล่ม

ถึงกระนั้นทิวาก็ไม่ได้ประมาท เขาไม่ได้คิดแค่จะเขียนเพื่อให้ขายได้หรือเขียนเพราะว่างานมีกระแส ด้วยรู้ว่าหากงานไม่สนุก ไม่จับใจคนอ่าน และไม่มีคุณภาพแล้วนักอ่านก็จะไม่ติดตามต่อ ดังนั้นเขาจึงทั้งทุ่มเท ทั้งพัฒนาผลงานทุกเรื่อง และจะไม่ฝืนใจเขียนหากตนเองไม่สนุกไปกับมัน

ปัจจุบันทิวาโลดแล่นในวงการน้ำหมึกมาสิบปีแล้ว ผลงานของเขาติดอันดับหนังสือขายดีทุกเรื่องที่วางขายไม่ว่าจะเป็นรูปเล่มหนังสือหรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เขามีหลายแนว ทั้งนวนิยายรักสืบสวนสอบสวน นวนิยายรักสะท้อนสังคม และนวนิยายรักพาฝันซึ่งถูกนำไปสร้างเป็นละครดังหลายเรื่อง นอกจากนี้เขายังเป็นนักเขียนบทละครที่พลิกแพลงบทเก่งอย่างหาตัวจับได้ยากอีกด้วย

ด้วยอายุการทำงานที่มากขึ้น สะสมฐานนักอ่านเอาไว้มากมาย และอยู่ในจุดที่พอใจแล้ว…ปีนี้ทิวาจึงตั้งใจว่าจะให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น ดูแลสุขภาพมากขึ้น และไม่ได้ออกงานเป็นพายุดังแต่ก่อน

ช่วงที่เริ่มดังใหม่ๆ เขาเขียนนวนิยายปีละห้าเรื่อง เขียนบทละครอีกสองเรื่อง ทำงานหามรุ่งหามค่ำแทบจะไม่มีเวลาพักสมอง แต่ปีนี้เขาตั้งใจจะออกนวนิยายสามเรื่องและเขียนบทละครอีกปีละเรื่องเท่านั้น ถึงกระนั้นรายได้ก็คงไม่ได้ลดลง เพราะนอกจากเงินจากนวนิยายเรื่องใหม่แล้วเขายังมีรายได้จากยอดขายอีบุ๊กนวนิยายเรื่องเก่าๆ ที่มีเข้ามาสม่ำเสมอในทุกเดือน รวมทั้งยอดขายจากหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำ

ถึงทิวาจะไม่ได้ร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีแต่เขาก็สร้างเนื้อสร้างตัวและมีเงินเก็บจากอาชีพนักเขียนจนหลายคนถึงขั้นออกปากว่า…คำว่า ‘นักเขียนไส้แห้ง’ ใช้กับนักเขียนอย่างทิวาไม่ได้

“แม่อยากให้ทิวาหยุดพักผ่อนยาวๆ บ้าง” ลดาบอกด้วยความเป็นห่วง

“คนมันเคยทำงานตลอดนี่ครับ” ชายหนุ่มย้อนมารดากลับด้วยคำพูดของท่าน “มีนักอ่านคอยติดตามและรอผลงานผมอยู่ แม่มาห้ามผมไม่ให้เขียนงานต่อแบบนี้มันบาปนะครับ”

“ช่างยอกย้อนจริงๆ ลูกคนนี้” ลดาไม่ถือสาลูกชายด้วยรู้ว่าความช่างยอกย้อนนี่แหละเป็นจุดเด่นของเขา “จริงสิ! แม่เห็นข่าวงานแต่งหนูตาแล้วเป็นห่วงหนูตาอย่างบอกไม่ถูกเลยนะ”

คราวนี้ชายหนุ่มเงียบเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง…

ไม่ใช่แค่ลดาหรอกที่เห็นข่าวดังกล่าว เพราะเขาเองก็เห็นตั้งแต่เมื่อเช้า และข่าวนี้ก็รบกวนจิตใจเขาไม่น้อย ไม่สิ! ตัวต้นเหตุในข่าวอย่างธรณินต่างหากที่คอยรบกวนหัวใจเขา

ทิวาไม่คิดเลยว่าเขากับเธอจะโคจรมาเจอกันอีกครั้ง

‘ถ้าคุณจำได้ว่าเมื่อก่อนฉันร้ายขนาดไหน คุณก็น่าจะรู้ว่าวันนี้ฉันร้ายได้มากกว่านี้อีก!’

ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของ ‘อดีตคนรัก’ เขารู้ดีว่าผู้หญิงอย่างธรณินร้ายได้มากกว่าที่เห็นเมื่อวาน…บางคนอาจจะคิดว่าการที่เธอบุกมาพังงานแต่งเป็นเรื่องอุกอาจ แต่สำหรับเขาที่เคยถูกเธอพังงานเปิดตัวหนังสือกลางเวทีใหญ่ในงานหนังสือระดับชาติมาแล้วบอกได้เลยว่าแค่นั้น ‘จิ๊บๆ’

ทำตัวได้น่าตีที่สุด

ทิวาคิดในใจเมื่อนึกถึงท่าทางเย่อหยิ่งและสายตาดื้อรั้นของสาวเจ้า แม้จะไม่ได้พบหน้าธรณินเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแต่เขาแทบไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเพราะเธอยังอยู่ในสายตาเขาเสมอ

หลังจากที่เลิกรากันไปทิวายังติดตามเรื่องราวของธรณิน เห็นเธอในสื่อ และใช้แอ็กเคานต์ส่วนตัวที่ไม่มีใครรู้แอบกดติดตามอินสตาแกรมของเธอด้วย ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยคาดหวังว่าวันหนึ่งจะได้พบเธอ

ทว่า…หากหยิบภาพของธรณินเมื่อหกปีก่อนมาเปรียบเทียบกับปัจจุบัน เขาก็บอกได้ว่าเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในตัวเธอเหมือนกัน ปัจจุบันเธอดูนิ่งขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น สง่างามมากขึ้น และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอสวยขึ้น…ธรณินในวันนี้คือสาวพราวเสน่ห์อย่างเต็มตัวจริงๆ

“ตาทำงานในวงการมาหลายปีแล้วนะครับ เธอมีผู้จัดการส่วนตัวเป็นกุนซือคอยแนะนำ เดี๋ยวเธอก็คงแก้ข่าวได้ แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” ทิวาบอกให้มารดาคลายกังวล

มุกตาภาเป็นน้องในสายรหัสของทิวา อีกทั้งละครที่สร้างจากนวนิยาย ‘365 วัน…ฉันกลับมาเพื่อเอาคืน’ ก็ได้เธอมาเป็นนางเอกประกบคู่กับภาคินเป็นเรื่องแรกด้วย

ด้วยความที่เขารู้จักกับเธอมาก่อน อีกทั้งยังจับมือกันประสบความสำเร็จจากละครเรื่องดังกล่าว เขากับเธอจึงสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง นอกจากนี้เธอยังได้เล่นละครที่สร้างจากนวนิยายของเขาอีกหลายเรื่อง ผู้จัดละครบางเจ้าก็นัดเธอมาคุยบทกันที่บ้านของเขาเพื่อความสะดวก ทำให้เธอได้รู้จักกับลดา

มุกตาภาเข้าหาผู้ใหญ่เก่ง ไม่แปลกที่มารดาของเขาจะเอ็นดูเธอ และท่านยังไม่เชื่อว่ามุกตาภาจะเป็นอย่างที่ธรณินแฉ ท่านถึงได้เห็นใจเธอ

“ผู้หญิงที่เข้าไปต่อว่าหนูตาก็ร้ายเหลือเกินนะ” ท่านพูดต่อ “มีปัญหากันยังไงก็น่าจะคุยกันวันอื่น บุกไปต่อว่าถึงงานแต่งท่ามกลางนักข่าวเป็นกองทัพแบบนั้น เหมือนตั้งใจทำลายอนาคตกันชัดๆ”

ทิวารู้สึกไม่ค่อยสบายใจแปลกๆ เมื่อได้ยินมารดาต่อว่าธรณิน…จริงอยู่ว่าชายหนุ่มเคยคบหากับธรณินในฐานะคนรักแต่ทั้งสองคนก็คบกันไม่ถึงปีด้วยซ้ำ เธอเคยมาบ้านของเขาเพียงสองครั้งแต่ไม่ได้เจอกับลดา และเขายังไม่มีโอกาสแนะนำเธอให้ท่านได้รู้จักด้วยซ้ำ ทั้งสองก็เลิกรากันไปเสียก่อน

“เธอคงมีเหตุผลส่วนตัวมั้งครับ”

ชายหนุ่มแก้ต่างแทนคนที่กำลังถูกพูดถึงทั้งๆ ที่เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเธอแม้แต่น้อย ทว่าเขาก็ไม่อยากให้มารดาด่วนตัดสินว่าเธอเป็นคนไม่ดี เพราะถ้ามุกตาภากับภาคินเป็นอย่างที่ธรณินพูด การที่หญิงสาวจะโกรธจนไปพังงานแต่งงานก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้

“เราพูดเหมือนเคยรู้จักผู้หญิงคนนั้น?”

ลดามองลูกชายด้วยความแปลกใจ ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มบางๆ เท่านั้น แล้วเขาก็ชวนท่านคุยเรื่องอื่นเพราะไม่อยากตอบคำถามนี้

ทิวาไม่ใช่แค่รู้จักธรณิน แต่เธอยังเป็นคนรักที่เขายังลืมไม่ลง

ให้ตายยังไง…ก็ลืมไม่ได้จริงๆ!

 

ต้องเล่นละครฉากใหญ่อีกแล้วสินะ

ธรณินคิดในใจขณะกำลังจะเดินเข้าไปในฮอลล์ของห้างหรูหราชื่อดังใจกลางกรุงเทพฯ เพราะวันนี้มีงานแฟชั่นโชว์ที่ห้องเสื้อต่างๆ ร่วมกันจัดขึ้นและหนึ่งในนั้นก็มีห้องเสื้อ Sandra ของเธอรวมอยู่ด้วย

ไปก่อเรื่องมาเมื่อวาน วันนี้คงไม่แคล้วมีนักข่าวมารุมทึ้ง

หญิงสาวพยายามทำใจล่วงหน้าว่าเธอต้องรับมือกับกองทัพนักข่าวไม่ต่างจากมุกตาภากับภาคิน และด้วยความที่รับมือกับสื่อมาจนชิน เธอเลยไม่ได้กังวลใดๆ แค่รำคาญใจเท่านั้น

ที่สำคัญเธอรู้ตัวดีว่าผิดที่ไปทำลายงานแต่งของสองคนนั้น แต่เธอก็มีเหตุผล และเรื่องที่แฉก็เป็นความจริง คนที่ต้องกลัวการเจอกองทัพสื่อคือชายโฉดและหญิงชั่วอย่างภาคินกับมุกตาภาต่างหาก

“มาแล้วๆๆๆ!”

อรณัสพูดกับพนักงานคนหนึ่งของห้องเสื้อด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นเธอโผล่หน้าเข้ามาในฮอลล์ สายตาของทั้งคู่มองเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนหญิงสาวต้องถอนหายใจเบาๆ

“ไม่ต้องถาม ทุกอย่างเป็นแบบในคลิปนั่นแหละค่ะ”

ธรณินพูดดักคอเหมือนเดาออกว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร ร่างระหงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะกวาดตามองฝ่ายออร์แกไนเซอร์ที่กำลังเตรียมงาน แต่อรณัสกลับยังมองเธอเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง

“แซนด์ไม่อยากคุยเรื่องไร้สาระเพราะอยากจะดูความเรียบร้อยในการเตรียมงานค่ะ แฟชั่นโชว์คราวนี้มีห้องเสื้อมารวมตัวกันหลายแบรนด์ เราจะพลาดจนเป็นตัวถ่วงคนอื่นไม่ได้นะคะ” หญิงสาวบอกอย่างเป็นการเป็นงานทำให้อรณัสไม่กล้าถามแทรก แม้จะอยากชวนเม้าท์เรื่องข่าวใจจะขาด

ธรณินก่อตั้งแบรนด์ Sandra ด้วยตัวเองตั้งแต่สมัยเรียนจบใหม่ๆ เพราะสนใจในด้านนี้ เธอใช้ความรู้ในด้านนิเทศศาสตร์มาทำการตลาด นอกจากนี้ยังไปเรียนแฟชั่นเพิ่มเติม อีกทั้งยังศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ห้องเสื้อของเธอถึงได้ประสบความสำเร็จ

เสื้อผ้าของแบรนด์ Sandra ขายทั้งแบบออนไลน์และผ่านหน้าร้านในห้างดังหลายแห่ง มีกลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่นตอนปลายถึงสาววัยทำงาน ปัจจุบันมีทั้งไลน์ชุดทำงาน ชุดลำลอง และชุดออกงาน แม้เสื้อผ้าจะไม่หรูหราเทียบเท่ากับแบรนด์ไฮเอ็นด์ แต่ก็ราคาสูงพอสมควร

“โธ่…คุณแซนด์ขา”

“ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานเลยนะคะ”

“แหม! พี่ขอถามสักสองคำถามไม่ได้เหรอคะ พี่คันปากมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ส่วนเรื่องงานไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ระดับพี่เอเคยทำงานพลาดด้วยเหรอคะ พี่โทรไปคอนเฟิร์มคิวช่างแต่งหน้าทำผมกับนางแบบเรียบร้อยแล้วค่ะ อีกไม่เกินสิบนาทีทุกคนจะมาถึงตามที่เราลงแพลนไว้เป๊ะๆ เลย”

“ถามไม่ได้ค่ะ เพราะแซนด์ไม่อยาก…”

“คุณภาคินเขาเป็นชู้กับคุณตาจริงๆ เหรอคะ” อรณัสไม่รอให้ธรณินออกปากห้ามก็ชิงถามก่อน แต่เบาเสียงลงมาจนแทบกระซิบเพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่

“ถ้าไม่จริงแซนด์จะกล้าบุกไปพังงานแต่งของพวกมันหรือไง พี่เอคิดว่าคนอย่างแซนด์หิวแสงถึงกับต้องสร้างเรื่องขึ้นมาแล้วบุกไปพังงานแต่งของซุป’ตาร์ชื่อดังเลยเหรอ อีกอย่างพี่เอก็พอจะรู้เรื่องยายศิกับนายภาคินอยู่บ้าง ทำไมถึงได้ถามแซนด์อีก” ธรณินย้อนถามคืนบ้าง

“คุณแซนด์เคยเล่าว่าคุณศิแอบคบกับคุณภาคินค่ะ แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียดเหมือนที่ไปแฉในงานแต่ง พี่ก็เลยอยากจะขุดเผือกแบบละเอียดหน่อยน่ะค่ะ”

อรณัสระงับความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้จริงๆ

“พี่รู้นะคะว่าคุณแซนด์เกิดมาก็ได้สปอตไลต์โดยไม่ต้องพยายาม แต่พี่แค่อยากถามรายละเอียดให้แน่ใจ เพราะข่าวมันดังมาก พี่ว่านักข่าวต้องโทรมาถามคุณแซนด์แน่ๆ พี่จะได้ให้ข้อมูลกับนักข่าวถูก”

มีหลายครั้งที่ธรณินขี้เกียจตอบนักข่าวก็มักจะให้ผู้ช่วยอย่างอรณัสให้สัมภาษณ์แทน

“ก็เป็นอย่างที่แซนด์พูดในงานนั่นแหละค่ะ ถ้านักข่าวเขาโทรมาถามก็บอกเขาไปแค่นั้น และถ้าเขาถามว่าแซนด์เป็นยังไงบ้างก็บอกแค่ว่าแซนด์สบายดี ตอนนี้แซนด์ห่วงแค่เพื่อนกับหลานเท่านั้นแหละค่ะ”

“แล้วเรื่องที่คุณแซนด์บอกให้นักข่าวไปขุดเพิ่มนี่มันเรื่องอะไรบ้างเหรอคะ”

“โอ๊ย! แซนด์ก็พูดให้สองคนนั้นมันเดือดร้อนไปอย่างนั้นเองแหละ พี่เอคิดดูสิคะว่าผู้ชายที่กล้ามีชู้ตอนเมียกำลังตั้งท้องและผู้หญิงที่กล้าเป็นชู้กับสามีชาวบ้านทั้งๆ ที่รู้ว่าเมียเขาท้องอยู่…มันจะไม่มีวีรกรรมอื่นเลยเหรอคะ ถ้าเรื่องชั่วช้าสารเลวขนาดนั้นยังกล้าทำ เรื่องอื่นๆ ก็ไม่เหลือหรอกค่ะ”

“จริงด้วย และถ้านักข่าวได้ขุดล่ะก็…ถอนรากถอนโคนแน่”

“แซนด์ลงทุนยอมเสียชื่อเสียงขนาดนี้ ผลตอบแทนมันก็ต้องคุ้มค่าหน่อยสิคะ” หญิงสาวยิ้มมุมปาก “อย่างน้อยสองคนนั้นก็ต้องตกจากบัลลังก์พระเอกนางเอกซุป’ตาร์และได้ฉายาประจำปีว่า ‘คู่จิ้นฟินบนต้นงิ้ว’!”

“แหม! คุณแซนด์ของพี่นี่ร้ายจริงๆ นะคะ”

“ไม่คิดเลยนะคะว่าเราจะได้เจอกันในงานนี้…”

ขณะที่ธรณินกำลังคุยกับอรณัสอย่างออกรสออกชาติ เสียงหวานที่คุ้นเคยก็ทักเธออย่างเยือกเย็นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามาหาราวกับว่าต้องการเป็นจุดสนใจของทีมงานหลายคนที่อยู่ในฮอลล์

ดีไซเนอร์สาวกวาดตามองอีกฝ่ายตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะก่อนที่จะกระตุกยิ้มเมื่อประสานสายตากับมุกตาภา เธอคิดในใจว่าอีกฝ่ายยังโดนด่าไม่หนำใจถึงได้กล้าเข้ามาเปิดศึกกับเธออีกรอบแบบนี้

เดี๋ยวจะจัดให้อีกสักรอบ

ธรณินคิดในใจ มุกตาภารู้จักคนอย่างเธอน้อยไปซะแล้ว!

บทที่ 3

นางร้ายไม่ได้โง่เหมือนในละคร

ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้โง่ที่จะด่ากราดหรือเปิดศึกกับนางเอกสาวท่ามกลางทีมงานหลายคนแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงมีคนเอาไปเม้าท์ต่อว่าเธอหาเรื่องมุกตาภาทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเข้ามาคุยด้วยดีๆ

ธรณินรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้เจ้ามารยา เล่นละครตบตาและบีบน้ำตาเก่งขนาดไหน ที่มุกตาภากลั้นใจเข้ามาทักก่อนก็คงเพื่อยั่วโมโหเธอ อยากให้เธอต่อว่า แล้วตัวเองก็จะตีหน้าเศร้ารับบทนางเอกถูกรังแกน่ะสิ

“ยายนี่มายังไง” ธรณินกระซิบถามผู้ช่วย

“นางมาเดินฟินาเล่ให้ห้องเสื้อของ ‘คุณแพร’ น่ะค่ะ” อรณัสกระซิบตอบ

‘คุณแพร’ เป็นเจ้าของห้องเสื้อแบรนด์ดังที่เข้าร่วมในงานแฟชั่นโชว์ครั้งนี้ ธรณินกับอีกฝ่ายรู้จักกันดี แม้จะเป็นคู่แข่งทางธุรกิจแต่เธอกับอีกฝ่ายมีสายสัมพันธ์อันดีและมีไมตรีต่อกัน

“ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้งนะ”

ธรณินสวมบทนางร้ายเจ้าบทบาทด้วยการข่มความไม่พอใจเอาไว้แล้วยิ้มตอบอีกฝ่ายทั้งๆ ที่ในใจบ่นว่าโชคชะตาช่างเล่นตลกเกินไปจริงๆ ที่ทำให้เธอต้องมาเจอกับมุกตาภาในงานนี้

หญิงสาวไม่รู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายจะมาร่วมงาน เพราะแต่ละแบรนด์ไม่จำเป็นต้องบอกข้อมูลหรือไฮไลต์ในโชว์ของตนกับแบรนด์อื่น และจะเก็บเอาไว้เป็น ‘ไม้เด็ด’ เพื่อเซอร์ไพรส์ในโชว์ก็ย่อมได้

“ขอบคุณนะที่เมื่อคืนนี้ไปร่วมแสดงความยินดีกับฉันและภาคิน”

มุกตาภาบอกพร้อมรอยยิ้มแต่ดวงตากลมโตคู่งามไม่ได้ยิ้มไปด้วย บ่งบอกได้ว่าเธอแค้นใจมากแค่ไหนที่ธรณินบุกไปพังงานแต่งของเธอ

“ยินดีจ้ะ เพื่อ ‘เพื่อนรัก’ อย่างเธอ ฉันยินดีไปร่วมงานด้วยอยู่แล้ว”

ธรณินเล่นละครเก่งไม่เป็นสองรองจากนางเอกชื่อดัง อรณัสได้ฟังก็ถึงกับงงหนักเพราะไม่รู้ว่าสองคนนี้ไปเป็นเพื่อนกันตอนไหน เขารู้แค่ว่าทั้งสองคนขัดแย้งกันเพราะเรื่องรศิตากับภาคิน

“รู้มั้ยว่าการกระทำของเธอทำให้ใครต่อใครต่างเห็นใจฉัน”

มุกตาภาพูดต่อเหมือนพยายามจะกระตุกต่อมโทสะของธรณินเต็มที่ด้วยการบอกว่าเธอได้คะแนนสงสารจากประชาชนมากมายแค่ไหน

“งั้นเหรอ” ธรณินเลิกคิ้ว “สงสัยเธอกับภาคินจะชินกับการสร้างโลกสองใบ ถึงได้ไม่รู้ว่าส่วนใหญ่คนเขาทั้งสาปส่งทั้งขุดคุ้ยเบื้องหลังการแต่งงานของพวกเธออยู่ แต่ฉันก็ยินดีด้วยจริงๆ นะที่เธอคิดได้ว่าใครๆ ก็สงสารเธอเพราะหลังจากนี้น่าจะมีข่าวที่ทำให้เธอได้รับความเห็นใจตามมาอีกเยอะเลย”

คำพูดของธรณินทำให้มุกตาภาถึงกับหน้าเสีย อรณัสเห็นอีกฝ่ายกำหมัดแน่นเพื่อข่มความโกรธเอาไว้ ทันใดนั้นเอง! สายตาผู้ช่วยคนเก่งก็หันไปเจอคุณแพรกำลังเดินเข้ามาในฮอลล์พอดี

“อุ๊ย! คุณแพรมาพอดีเลยค่ะ”

อรณัสรีบทักเพื่อดึงคุณแพรเข้ามาร่วมวงสนทนา ทั้งมุกตาภากับธรณินจะได้สงบศึกกันชั่วคราว ไม่อย่างนั้นทั้งสองอาจจะตีกันก่อนที่แฟชั่นโชว์จะเริ่ม

“สวัสดีค่ะ”

เจ้าของห้องเสื้อแบรนด์ดังรีบเดินเข้ามา

“แหม…มาเร็วจังเลยนะคะคุณตา”

“นั่นสิคะ เป็นนางเอกที่มีความมืออาชีพดีจัง มาก่อนเวลานัดด้วย” ธรณินเห็นอีกฝ่ายทักทายนางเอกสาวก็รีบเสริม “สงสัยนางเอกของคุณแพรจะเหงา พอมาก่อนเวลาก็เลยเข้ามาคุยกับแซนด์”

คุณแพรมองทั้งสองด้วยความแปลกใจ เธอเพิ่งเห็นข่าวที่ธรณินไปพังงานแต่งงานของมุกตาภา ทั้งสองคนน่าจะขัดแย้งกัน แล้วทำไมมุกตาภาถึงได้เข้ามาคุยกับธรณินแทนที่จะเลี่ยงการเผชิญหน้า การที่ธรณินพูดแบบนั้นเป็นการบอกกลายๆ ว่าใครเริ่มก่อน

“คุณตานี่ใจเย็นจังเลยนะคะ ขนาดเกิดเรื่องเมื่อคืนนี้ยังเข้ามาคุยกับคุณแซนด์ได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” อรณัสเสริมเพื่อบอกเป็นนัยว่าถ้าวันนี้มีเรื่องกันก็เพราะมุกตาภาเริ่มก่อน…คนเพิ่งจะมีเรื่องกันมา หากไม่อยากเปิดศึกก็ควรจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า แต่นี่มุกตาภาดันเข้ามาเปิดก่อน

“เอ่อ…เชิญคุณตาที่ห้องแต่งตัวดีกว่านะคะ จะได้แต่งหน้าทำผม แพรจะได้อธิบายเรื่องคิวบนเวทีกับคุณตาเลย” คุณแพรไม่อยากให้มีเรื่องกันจึงรีบแยกมุกตาภาออกไป “ขอตัวนะคะ”

“ค่ะคุณแพร” ธรณินยิ้มขอบคุณอีกฝ่าย

คุณแพรกับมุกตาภาเดินไปที่ห้องแต่งตัว ธรณินเห็นว่านางเอกสาวแอบปรายตามองเธอด้วยความไม่พอใจ แค่นั้นเธอก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเจ็บใจแค่ไหนที่ทำให้เธอลุกขึ้นมาด่าจนเสียกิริยาไม่ได้

“นางคงคิดว่าคุณแซนด์โง่มากนะคะ ถึงได้เข้ามาเขี่ยไฟให้คุณแซนด์ด่า” อรณัสพูดด้วยความหมั่นไส้ เขาทำงานกับธรณินมานาน มีหรือจะอ่านเกมของคนอย่างมุกตาภาไม่ออก

“พี่เอไม่ได้แอบด่าแซนด์ใช่มั้ย” ธรณินมองผู้ช่วยด้วยสายตาไม่ไว้ใจ

“คุณแซนด์! พี่จะว่าคุณแซนด์ทำไมคะ” ผู้ช่วยคนสนิทรีบออกตัว

“ถึงแซนด์จะอยากด่านางให้สาแก่ใจ แต่แซนด์ก็ไม่เสียสติจนถึงขั้นด่านางท่ามกลางทีมงานนับสิบหรอกค่ะ อีกอย่างนักข่าวก็ทยอยมากันแล้ว ขืนเล่นบทนางร้ายซ้ำเดิมอีก นางก็คงจะรีบรับบทนางเอกน่าสงสารจนได้รับความเห็นใจ ฝันไปเหอะ! แซนด์ไม่โง่จนตามเกมนางไม่ทันหรอก” ธรณินเบ้ปากเบาๆ

ถ้ามุกตาภาอยากเล่นบทนางเอกก็บอกเลยว่านางร้ายอย่างธรณินไม่ได้โง่เหมือนในละครที่อีกฝ่ายเคยแสดง ที่สำคัญครอบครัวเธอก็ออกปากเตือนขนาดนี้แล้ว เธอไม่กล้าหาเรื่องให้ถูกดุซ้ำสองหรอก

“แต่แม่คนนี้ไม่เบาเลยนะคะ คุณแซนด์เพิ่งจะไปแฉนางมาเมื่อคืน แต่นางยังมาออกงานได้ไม่สะทกสะท้าน แถมยังเข้ามาเปิดเกมก่อนแบบนี้อีก” อรณัสแสดงความเห็นอย่างออกรส

“นางคงอยากแก้เกมน่ะค่ะ” ธรณินว่า “ยายนั่นคงคิดว่าแซนด์จะโกรธค้างจนด่านางเหมือนเมื่อคืน แล้วนางก็จะได้รับบทนางเอกผู้น่าสงสารโดยมีแซนด์เป็นนางร้ายตามทำลายนางไม่จบไม่สิ้น”

“พี่เข้าใจค่ะ พี่เห็นคุณแซนด์กำหมัดข่มใจแทบตาย”

“ใช่ค่ะ ลึกๆ นี่แซนด์อยากจิกหัวตบนางจะแย่”

“ท่าทางคุณแซนด์กับนางจะไม่ลงรอยกันมากๆ เลยนะคะ นี่แค้นกันเพราะนางแย่งสามีเพื่อนอย่างเดียวจริงๆ เหรอ” อรณัสถามต่อเพราะเขารู้สึกได้ว่าระหว่างสองคนนี้มีอะไรที่มากกว่านั้น

“แซนด์น่ะไม่ได้อะไรกับนางหรอกนะคะ แต่นางน่ะมาอะไรๆ กับแซนด์ก่อน”

“แล้วทำไมนางต้องมาอะไรๆ กับคุณแซนด์ด้วยคะ”

“สมัยเรียน…เราชอบผู้ชายคนเดียวกันน่ะค่ะ แล้วผู้ชายเขาดันมาชอบแซนด์ นางก็เลยแค้นมั้งคะ” ธรณินเล่าเรื่องในอดีตซึ่งไม่เคยเปิดเผยกับผู้ช่วยมาก่อน แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเธอก็เล่าไปเลยแล้วกัน

“ยังไงคะ” อรณัสถามเพื่อให้เจ้านายสาวอธิบายเพิ่มเติม

ธรณินถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเล่าต่อว่าเธอกับมุกตาภาเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน และเป็นรุ่นเดียวกัน ส่วน ‘ผู้ชายคนนั้น’ เป็นรุ่นพี่ในคณะและเป็นรุ่นพี่ในสายรหัสของมุกตาภาด้วย

และใช่…เขาคือทิวา!

มุกตาภาแอบรักทิวา แต่เขากลับมาใกล้ชิดกับธรณิน มุกตาภาไม่พอใจจนถึงขั้นแอบมาบอกกับธรณินให้เลิกยุ่งกับเขา แต่เวลาอยู่ต่อหน้าเขากลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเล่นบทรุ่นน้องที่แสนดีจนธรณินยังงงกับการตีสองหน้าของอีกฝ่าย

ทว่าในตอนนั้นหญิงสาวยังไร้พิษสงและมองโลกในแง่ดี เธอก็เลยไม่อยากบอกปัญหาระหว่างเธอกับมุกตาภาให้เขารับรู้เพราะกลัวว่าเขาจะวางตัวลำบากและไม่สบายใจ

จนป่านนี้ธรณินยังไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนั้นรู้ตัวบ้างมั้ยว่าน้องในสายรหัสคนดีแอบคิดไม่ซื่อกับเขา!

จริงอยู่ว่าเรื่องทิวาทำให้มุกตาภาไม่ชอบธรณิน แต่ด้วยความที่รู้ว่าธรณินค่อนข้างมีอิทธิพล หล่อนก็เลยไม่เข้ามายุ่งกับธรณินอีก และต่างคนก็ต่างอยู่ จนกระทั่งมุกตาภาแอบมาฉกสามีของรศิตานี่แหละ

บางครั้งธรณินก็อดคิดไม่ได้ว่ามุกตาภาอยากจะหาเรื่องเธอ แต่เล่นงานเธอโดยตรงไม่ได้ก็เลยหันไปเล่นงานเพื่อนรักของเธอแทน ที่ผ่านมาธรณินก็พยายามอดทนมาตลอด แต่เมื่อวานนี้เธอสุดจะทนแล้วจริงๆ

“พี่ว่าที่นางตั้งใจฉกผัวเพื่อนคุณแซนด์ทั้งๆ ที่ตัวเองก็น่าจะหาผู้ชายโสดๆ ดีๆ ได้เพราะนางแค้นคุณแซนด์แน่ๆ ประมาณว่าเล่นงานคุณแซนด์ไม่ได้ก็เลยไปเล่นงานเพื่อนรักของคุณแซนด์แทน”

“แซนด์ก็แอบคิดเหมือนกันค่ะ แต่นางก็ไม่น่าจะโง่ขนาดนั้นนะคะ” ใจหนึ่งธรณินก็คิดแบบนั้น แต่อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่ามุกตาภาจะโง่เอาชื่อเสียงมาแลกเพื่อเล่นงานเธอทางอ้อมเลยหรือ

“ไม่แน่หรอกค่ะ คนเราบางทีความแค้นบังตา มันก็ทำเรื่องโง่ๆ ได้ทั้งนั้นแหละ” อรณัสพูดตามประสบการณ์ที่เคยพบเจอมา “แต่…คุณแซนด์ออกตัวแทนเพื่อนขนาดนี้ปรึกษาเพื่อนแล้วใช่มั้ยคะ”

“ยายศิน่าจะเข้าใจแหละค่ะว่าแซนด์ทำไปก็เพื่อยายศิกับหลาน” ธรณินบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ทั้งผู้ช่วยคนสนิทและครอบครัวทักแบบนี้เธอเองก็เริ่มจะกังวลใจมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่รศิตารู้จักเธอดีที่สุด ธรณินคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเข้าใจเธอ…

 

“คราวนี้คงได้พักซะทีนะคะคุณแซนด์”

อรณัสพูดกับเจ้านายสาวขณะเดินออกไปที่ลานจอดรถ หลังจากจบงานแฟชั่นโชว์แล้วทั้งสองก็ช่วยพนักงานเก็บงานทั้งๆ ที่ความจริงเจ้าของห้องเสื้ออย่างธรณินจะกลับก่อนก็ย่อมได้ แต่เธอเป็นเจ้านายที่อยากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับลูกน้องไม่ใช่เอาแต่ชี้นิ้วสั่ง เธอจึงมักจะอยู่ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างจนทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน ด้วยเหตุนี้พนักงานทุกคนจึงตอบแทนเธอด้วยหัวใจเช่นกัน

“ก็ขอให้ได้พักอย่างที่คิดไว้สักทีเถอะค่ะ” ธรณินยิ้มบางๆ

ด้วยความที่แบรนด์ Sandra เพิ่งเริ่มต้นมาได้เพียงห้าปี ธรณินอยากให้แบรนด์ของตนเองติดลมบน เธอจึงทุ่มเทให้กับการทำงาน ดูแลเสื้อผ้าแทบทุกขั้นตอน และใส่ใจทุกรายละเอียดจนแทบจะหาเวลาพักผ่อนไม่ได้ แต่มาปีนี้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง หลังจากที่จบแฟชั่นโชว์ซึ่งเป็นงานใหญ่ เธอก็เลยอยากหยุดพักผ่อนสักหนึ่งสัปดาห์ซึ่งอรณัสก็เห็นด้วย เขาจึงรับปากว่าจะดูแลงานที่ห้องเสื้อแทนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“แหม…พี่บอกแล้วไงคะว่าจะดูแลงานให้” ผู้ช่วยรีบออกปาก “ช่วงนี้ก็ขายของไปเรื่อยๆ ก่อน รอคุณแซนด์กลับมาเราค่อยเริ่มงานคอลเล็กชั่นใหม่กัน ว่าแต่หยุดคราวนี้จะบินไปเที่ยวไหนเหรอคะ”

“รอบนี้ไปทะเลใกล้ๆ นี่แหละค่ะ” ธรณินเป็นพวกขี้เกียจวางแผน หยุดแค่สัปดาห์เดียวเธออยากใช้เวลานอนให้คุ้มค่าที่สุด “อยากไปนอนฟังเสียงคลื่นเงียบๆ เผื่อจะคิดงานคอลเล็กชั่นเบาๆ สบายๆ ได้บ้าง”

“เพิ่งพูดว่าจะไปพักผ่อน ยังจะอุตส่าห์คิดงานอีกนะคะ”

“มันอยู่ในสายเลือดแล้วไงคะ” หญิงสาวหัวเราะ “ยังไงแซนด์ฝากพี่เอดูแลงานทางนี้ด้วยนะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ติดต่อแซนด์ได้ตลอดเวลา ถึงแซนด์จะไปพักผ่อนแต่แซนด์ก็คุยเรื่องงานได้ค่ะ”

“โอเคค่ะคุณแซนด์ ไม่ต้องห่วงนะคะ”

“ได้พี่เอมาช่วยงาน แซนด์เบาใจไปได้เยอะเลย ขอบคุณพี่เอมากนะคะที่เต็มที่กับแซนด์”

“พี่ยินดีค่ะ และจะยินดีมากถ้าคุณแซนด์พิจารณาขึ้นเงินเดือนให้พี่”

พอพูดถึงเรื่องขึ้นเงินเดือน เจ้านายสาวก็กลอกตามองบนทันที

“พี่ล้อเล่นหรอกค่ะ แหม…คุณแซนด์เพิ่งจะขึ้นเงินเดือนให้พี่เมื่อปีที่แล้วนี่เอง”

อรณัสหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของธรณิน ความจริงก่อนมาทำงานกับเธอ เขาเคยทำงานที่บริษัทโฆษณามาก่อน แต่เพราะเหนื่อยที่ถูกเจ้านายเอาเปรียบและถูกใช้งานเยี่ยงทาสก็เลยลาออกมาหางานใหม่

ตอนที่เข้ามาทำงานกับธรณิน เขาก็ยังแอบหวั่นว่าประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอย แต่ใครจะคิดว่าเจ้านายที่ดูลุคร้ายๆ แรงๆ อย่างธรณิน…จริงๆ แล้วเป็นคนใจดี ไม่เอาเปรียบใคร และใส่ใจลูกน้องมาก

ด้วยความที่ธรณินไม่ลำบากเรื่องเงิน บางช่วงที่ประเทศประสบปัญหาเศรษฐกิจจนหลายบริษัทต้องปลดพนักงาน ห้องเสื้อเองก็ยอดขายลดลง แต่ธรณินก็ยังประคับประคองทั้งห้องเสื้อทั้งพนักงานไว้ และถ้าใครเดือดร้อนเธอก็จะให้ความช่วยเหลือ พนักงานจึงให้ใจกับเธอและเต็มที่กับการทำงาน

ติ๊ด…ติ๊ด…

ในตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวก็มีสัญญาณเรียกเข้า ธรณินจึงลากับผู้ช่วยคนสนิทแล้วรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายขณะกำลังจะเปิดประตูรถ

หญิงสาวหัวใจเต้นรัวเมื่อเห็นเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอ…

ยายศิโทรมา!

ธรณินคิดว่าจะเข้าไปคุยกับเพื่อนสนิทที่บ้านของอีกฝ่าย แต่รศิตากลับโทรมาเสียก่อน เธอจึงอดหวั่นใจไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเห็นข่าวแล้วกังวลจนทนไม่ไหวก็เลยเป็นฝ่ายโทรมาหาเธอหรือเปล่า

“ว่าไงศิ ฉันคิดว่าเย็นนี้จะไปกินข้าวกับแกกับน้องภูอยู่พอดีเลย” ธรณินกดรับสายและทักทายด้วยน้ำเสียงปกติทั้งๆ ที่กังวลใจ เวลานี้เธอเป็นห่วงความรู้สึกของเพื่อนมากที่สุด

“แกช่วยไปดูน้องภูที่โรงเรียนหน่อยได้มั้ย เมื่อกี้ครูที่โรงเรียนโทรมาบอกว่าน้องภูตกชิงช้าหัวแตก ตอนนี้ฉันมาทำงานที่ชลบุรี กลับไปไม่ทันจริงๆ ฉันเป็นห่วงลูก” รศิตาบอกอย่างร้อนรน

“ได้ๆ ฉันจะรีบไปดูให้”

“รบกวนด้วยนะแซนด์แล้วฉันจะรีบกลับไป”

“ไม่เป็นไรน่า น้องภูก็หลานฉันเหมือนกันนะ”

ธรณินกำลังจะกดวางสาย แต่เธอนึกบางอย่างขึ้นได้ก็เลยรีบถามรศิตาต่อ

“ว่าแต่…แกโทรบอกพ่อน้องภูหรือยัง”

คำถามนั้นทำให้ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง

“ฉันบอกเขาแล้ว”

“แล้วนายภาคินว่ายังไงบ้าง”

“เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“อะไรนะ! ลูกเจ็บแบบนี้มันไม่คิดจะมาดูลูกเลยเหรอ!”

ธรณินถามด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวทันที เธอไม่อยากจะพูดจาทิ่มแทงหัวใจรศิตา เพราะรู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายเป็นห่วงลูกและร้อนใจมากพอแล้ว แต่เธอก็ไม่อยากให้เพื่อนมองข้ามความเลวของภาคินจนยอมอยู่เป็น ‘ของตาย’ ที่ไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้ คนอย่างรศิตาไม่ควรตกอยู่ในสถานะเป็นรองขนาดนี้เลย

“เขาบอกว่าติดงานน่ะ”

“ติดงานอีกแล้ว ติดงานหรือติดเมียใหม่กันแน่”

“พอเถอะแซนด์! สรุปว่าแกจะไปดูน้องภูให้ฉันมั้ย ถ้าแกไม่ไปฉันจะรีบกลับไปดูเอง”

“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ไป น้องภูเป็นหลานฉันนะ ฉันก็เป็นห่วงหลานเหมือนกัน แต่ที่ฉันถามเพราะอยากรู้ว่าพ่อน้องภูจะเป็นห่วงลูกบ้างมั้ย หรือมันกำลังดื่มด่ำกับน้ำผึ้งพระจันทร์จนลืมแกกับลูกไปแล้ว”

“ขอบใจมากนะที่แกจะไปดูน้องภูแทนฉัน”

รศิตากล่าวขอบคุณเหมือนไม่ได้ยินที่ธรณินพูดถึงคนรักก่อนที่จะกดวางสายไป คนถูกตัดสายถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ระบายความโกรธ แต่ด้วยความที่เป็นห่วงหลานมากร่างบางจึงรีบทิ้งตัวลงในรถ สตาร์ตเครื่องยนต์ และเตรียมจะขับมันออกไป ทว่า…เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้อีกครั้ง

ธรณินรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดเข้าไปในอินสตาแกรมทันที

 

ไปดินเนอร์ครั้งแรกหลังแต่งงาน…’

นั่นคือแคปชั่นใต้รูปที่ภาคินแต่งตัวหล่อเหลาเหมือนกำลังจะออกไปดินเนอร์ในร้านอาหารสุดหรู และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาจะไปกับใคร เพราะพระเอกหนุ่มแท็กหานางเอกของเขาเรียบร้อยแล้ว

ภาคินทำเหมือนต้องการประกาศกับแฟนคลับว่าเขากับมุกตาภาจะฝ่าฟันกระแสโจมตีไปให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทั้งสองก็จะรักและผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกัน

นี่น่ะเหรอไอ้คนติดงาน ติดอย่างอื่นซะมากกว่า!

ธรณินคิดในใจขณะแคปภาพไว้เป็นหลักฐานเผื่อว่าภาคินจะโดนด่าจนรีบลบรูปทิ้ง จากนั้นเธอก็วางโทรศัพท์มือถือแล้วขับรถออกไปเพราะเป็นห่วงหลานจับใจ ไม่รู้ว่าป่านนี้น้องภูจะเป็นยังไงบ้าง

ธรณินกล้าพูดว่าไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านถ้าไม่จำเป็น ยิ่งให้ ‘ออกตัวแรง’ แทนคนอื่นแบบนี้ยิ่งไม่มีทางเด็ดขาด แต่เธอคบกับรศิตามาสิบห้าปี เธอรู้ดีว่าแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิงเก่ง มีความอดทนสูงแต่ที่ผ่านมาเพื่อนเธอก็เก็บความเจ็บช้ำเอาไว้มากมาย รศิตาคงหวังว่าสักวันภาคินจะคิดได้ แต่ผู้ชายเห็นแก่ตัวแบบนั้นต่อให้แก่จนเดินไม่ไหวก็ไม่มีทางคิดได้หรอก เพราะเขาเห็นแก่ตัวจนเป็นสันดานไปแล้ว

ธรณินอยากให้เพื่อนตัดใจจากผู้ชายคนนั้นแล้วเปิดใจมองหาผู้ชายคนใหม่ หรือถ้าเข็ดกับความรักจะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอยู่แบบโสดๆ สวยๆ ก็ยังได้ อย่างน้อยๆ จะได้เอาเวลามาโฟกัสกับการทำงานและทุ่มเทหัวใจให้กับน้องภูโดยที่ไม่ต้องรอคอยเศษเดนความรักจากผู้ชายที่ไม่เคยเห็นค่า…เพราะตราบใดที่รศิตายังเอาชีวิตไปผูกกับภาคิน อีกฝ่ายก็คงต้องเจ็บช้ำเหมือนมีหนามยอกอกแบบนี้นั่นแหละ!

 

ธรณินไปถึงโรงเรียนอนุบาลในเวลาเกือบห้าโมงเย็น เธอรีบไปดูน้องภูซึ่งนั่งรอผู้ปกครองมารับอยู่กับคุณครู พอเห็นหน้าเธอเท่านั้นหลานชายตัวน้อยก็โผเข้ากอดด้วยความดีใจจนร้องไห้ ลึกๆ แกคงยังรู้สึกเสียขวัญทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้คุณครูก็ปลอบให้แกสงบไปรอบหนึ่งแล้ว

จากนั้นคุณครูก็เล่าให้หญิงสาวฟังว่าหลังเลิกเรียนแกไปเล่นกับเพื่อนแล้วพลัดตกชิงช้าจนหัวแตก คุณครูจึงพาน้องภูไปทำแผลที่คลินิกใกล้ๆ แล้วพากลับมารอผู้ปกครองในโรงเรียน

“ไม่เป็นไรแล้วนะคะคนเก่งของน้าแซนด์”

ธรณินบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะกอดปลอบหลาน ฝ่ามือบอบบางลูบแผ่นหลังเล็กของเด็กชายอย่างอ่อนโยนเพราะไม่อยากเห็นหลานร้องไห้ น้ำตาของอีกฝ่ายทำให้ใจเธอแทบจะเหลวเป็นน้ำ

“เดี๋ยวน้าแซนด์จะพากลับบ้าน แต่ก่อนกลับเราแวะกินไอติมร้านโปรดของน้องภูก่อนแล้วค่อยกลับไปรอคุณแม่ที่บ้านเนอะ” ธรณินบอกพร้อมรอยยิ้มขณะเอาของกินมาล่อหลาน

ประโยคนั้นทำให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้และยิ้มออกจนหญิงสาวยิ่งนึกเอ็นดู ในขณะที่คุณครูก็มองเธออย่างชื่นชมเพราะไม่คิดว่าสาวเปรี้ยวที่เห็นในข่าวบุกทำลายงานแต่งจะเป็นคนรักเด็กแบบนี้

ธรณินเห็นคุณครูมองเหมือนจำเธอได้ หญิงสาวก็เลยรีบขอตัวกลับเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะปะติดปะต่อเรื่องราวจนรู้ว่าน้องภูเป็นลูกของภาคินซึ่งมันอาจทำให้ชีวิตในโรงเรียนของแกไม่สงบสุขอีกต่อไป โชคดีที่น้องภูใช้นามสกุลของรศิตาไม่ใช่ภาคิน ไม่อย่างนั้นคุณครูคงจะเดาเรื่องได้ไม่ยาก

จากนั้นดีไซเนอร์สาวก็พาหลานชายไปทานไอติมร้านโปรดตามสัญญาก่อนจะพาแกกลับมาที่บ้าน ในขณะที่น้องภูไปอาบน้ำ เธอก็สั่งอาหารมารอ แล้วทานข้าวกับหลานรอเพื่อนกลับมา เพราะตอนเธอโทรไปบอกรศิตาว่ารับน้องภูกลับมาที่บ้านแล้ว อีกฝ่ายได้บอกเธอว่าน่าจะกลับมาถึงบ้านตอนเกือบสามทุ่ม

“น้าแซนด์วาดรูปสวยจังเลยฮะ”

น้องภูแอบมองภาพในสมุดสเก็ตช์ของคนเป็นน้าที่ทำการบ้านเป็นเพื่อนแก วันนี้ครูให้การบ้านเป็นการวาดรูปครอบครัวและต้องส่งวันพรุ่งนี้ ตอนแรกน้องภูอยากดูการ์ตูน ธรณินก็เลยบอกว่าให้วาดรูปก่อน ถ้าวาดรูปเสร็จจะให้ดูการ์ตูน และเดี๋ยวเธอจะวาดเป็นเพื่อนหลานด้วย เด็กน้อยถึงได้ยอมทำ

“น้องภูก็วาดสวยเหมือนกันค่ะ”

“ไม่เห็นสวยเลยฮะ เส้นยึกยือ”

“เส้นยึกยือก็สวยออกค่ะ น้าแซนด์ยังวาดแบบน้องภูไม่ได้เลย” หญิงสาวให้กำลังใจหลาน “งานวาดภาพเป็นงานศิลปะ ถ้ามันออกมาจากจินตนาการและความคิดของเรา ยังไงก็สวยทั้งนั้น”

“น้องภูวาดสวยจริงๆ เหรอฮะ”

พอคุณน้าแสนสวยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาจริงใจ น้องภูก็รู้สึกมีกำลังใจที่จะวาดรูปมากขึ้น

“สวยสิคะ สวยมาก น้องภูวาดต่อสิ น้าแซนด์อยากเห็นรูปตอนน้องภูวาดเสร็จแล้ว”

“หม่ามี้! หม่ามี้กลับมาแล้ว!”

ยังไม่ทันจะวาดรูปเสร็จ ดวงตาใสแป๋วของหลานชายตัวน้อยก็หันไปเจอผู้เป็นมารดากำลังเดินเข้ามาในบ้านพอดี แกจึงตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ แล้วรีบวิ่งออกไปรับคนที่แกกำลังคิดถึง

“เป็นยังไงบ้างลูก น้องภูเจ็บตรงไหนมั้ย”

รศิตาย่อตัวลงมานั่งยองๆ กับพื้นแล้วรับกอดจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เธอทั้งหอมทั้งลูบหลัง และถึงกับน้ำตาซึมด้วยความรัก ความสงสาร และเป็นห่วงลูกแทบใจจะขาด

“น้องภูไม่เจ็บแล้วฮะ” เด็กน้อยตอบน้ำเสียงสดใสเพราะไม่อยากเห็นแม่เป็นห่วง มือน้อยๆ เช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายไปด้วย

ธรณินมองภาพที่ทั้งสองคนกำลังปลอบโยนกันอย่างตื้นตันในความรักของสองแม่ลูก และลึกๆ เธอก็สงสารทั้งคู่จับใจ คนดีๆ อย่างรศิตาไม่น่าจะได้สามีเห็นแก่ตัวอย่างภาคิน และเด็กที่น่ารักอย่างน้องภูก็ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกของภาคินเลย

ยายศิเอ๊ยแกมีโอกาสเลือกอีกตั้งเยอะ

ธรณินคิดในใจ แม้รศิตาจะมีลูกและทำงานหนักจนแทบจะไม่เวลาดูแลตัวเอง แต่ก็ยังสาวยังสวย ผิวพรรณผุดผาดไม่ต่างจากสาวแรกรุ่นเพราะเป็นคนผิวดีมาตั้งแต่เกิด หากไม่บอกก็คงไม่รู้ว่ามีลูกแล้ว ที่ผ่านมาธรณินรู้ว่ามีผู้ชายให้ความสนใจเพื่อนเธอ เพียงแต่อีกฝ่ายไม่คิดจะมองใครนอกจากผู้ชายชั่วๆ คนนั้น

ไม่รู้ไอ้เวรนั่นเล่นของใส่เพื่อนเราหรือเปล่าถึงได้หลงมันหน้ามืดตามัวขนาดนี้

“น้าแซนด์พาน้องภูไปกินไอติม ไม่เจ็บแล้ว”

คำตอบนั้นทำให้ผู้ใหญ่ยิ้มอย่างเอ็นดู พอเอาของกินมาล่อเด็กน้อยก็หายเจ็บทันที

“คราวหลังเล่นอะไรต้องระวังหน่อยนะคะ” แม้จะรู้ว่าลูกไม่เป็นไรแล้วแต่รศิตาก็ยังเตือนให้ลูกระวังตัว “ดีนะที่คราวนี้ไม่ได้เป็นอะไรมาก ถ้าน้องภูเจ็บหนักกว่านี้หม่ามี้คงเป็นห่วงจนร้องไห้แน่ๆ”

รศิตาเป็นห่วงลูกจนแทบไม่มีสมาธิขับรถกลับมา ลึกๆ เธอสงสารและเจ็บปวดที่ภาคินไม่ได้สนใจลูกเลย แม้กระทั่งตอนที่ลูกบาดเจ็บก็ยังไม่คิดจะมาดูดำดูดีจนต้องให้ธรณินมาดูแลแทน

“น้องภูไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วน่า” ธรณินปลอบ

“ต้องเตือนหน่อยแหละ ฉันไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”

“แกเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวฉันดูแลน้องภูให้เอง”

“ขอบใจมากนะ ฉันรบกวนแกอีกแล้ว”

“รบกวนอะไรกันเล่า ฉันว่างจะตาย เนอะน้องภูเนอะ”

หญิงสาวหันไปยิ้มให้กับหลาน เธอไม่ได้แสดงสีหน้าลำบากใจหรือเหน็ดเหนื่อยให้รศิตาเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายรู้ดีว่าเธอไม่ได้ว่างขนาดนั้น และคำตอบของเธอก็ยิ่งทำให้เพื่อนเกรงใจ

รศิตารู้สึกผิดที่ไหว้วานให้ธรณินไปรับลูกและอยู่เป็นเพื่อนลูกบ่อยๆ แต่เธอก็ไม่รู้จะพึ่งพาใครอีกแล้วนอกจากธรณิน เพราะเธอทำงานออร์แกไนเซอร์ บางครั้งต้องออกต่างจังหวัดบ่อยๆ ส่วนภาคินแทบจะไม่กลับมาดูแลลูกเลย เพราะหลังจากประกาศแต่งงานเขาก็มาที่นี่แค่เดือนละครั้งและมาเพียงครู่เดียวแล้วก็กลับไป

วันไหนธรณินว่างเธอมักจะแวะมาอยู่กับหลาน เพราะ ‘เดือน’ แม่บ้านที่จ้างมาก็ไม่มีเวลามานั่งสอนหรือนั่งเล่นเป็นเพื่อน รศิตายังโชคดีอยู่บ้างที่น้องภูเป็นเด็กเลี้ยงง่ายและรู้ความ

“น้องภูได้ยินว่าแด๊ดดี้แต่งงาน…”

คำพูดของน้องภูทำให้ทั้งรศิตาและธรณินถึงกับชะงัก

“น้องภูรู้ได้ยังไงคะ”

คุณแม่ยังสาวถามอย่างแปลกใจเพราะเธอคิดว่าพยายามกันลูกห่างจากสื่อต่างๆ ในช่วงนี้แล้ว อีกอย่างเธอก็บอกลูกอยู่เสมอว่าที่ภาคินไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะเขาทำงานหนักเพื่อครอบครัว และถ้าลูกสงสัยเรื่องพ่อกับมุกตาภา เธอก็จะบอกลูกว่า ‘แด๊ดดี้กำลังทำงาน’ จนคิดว่าลูกเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว

“ครูที่โรงเรียนคุยกัน”

คำพูดของลูกน้อยทำให้รศิตาต้องถอนหายใจเบาๆ แต่เธอก็ไม่แปลกใจนักเพราะข่าวธรณินไปถล่มงานแต่งของภาคินกับมุกตาภาเป็นข่าวใหญ่ ใครๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้ทั้งในและนอกโลกโซเชียล

“ทำไมแด๊ดดี้แต่งงานกับคนอื่นล่ะฮะ”

คำถามตรงไปตรงมาตามประสาเด็กทำให้รศิตาแทบน้ำตาร่วง ต่อให้เธอจะพยายามหลอกตัวเองว่าภาคินทำเพื่องานมาโดยตลอด แต่มาถึงขั้นนี้เธอคงหลอกตัวเองต่อไปไม่ไหว…การแต่งงานครั้งนี้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากภาคินต้องการเฉดหัวเธอกับลูกทิ้งอย่างที่ธรณินเคยพูดเอาไว้!

 

ติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 15

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: