“ข้ากับบุตรสาวของสกุลเกา แม้ไม่กล้าบอกว่าถูกตาต้องใจกัน แต่ก็รู้จักกันมาหลายปี ต่างรู้ใจกันเข้าใจกัน ในสายตาของข้าก็เห็นนางเป็นภรรยาที่ยังไม่ได้เข้าพิธีกันนานแล้ว เมื่อครู่ข้าถามเจ้า เพราะเหตุใดต้องเรียกร้องขอแต่งงานกับนาง เจ้าไม่ตอบ ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด หากไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ก็ต้องเพราะความรัก ถ้าเพื่อผลประโยชน์ ก็เช่นที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้ ให้ผูกไมตรีกับทุกฝ่ายเสีย กอปรกับเจ้ามีบุญคุณต่อสกุลเกา วันข้างหน้าผลประโยชน์ที่เจ้าจะได้รับย่อมห่างไกลจากสิ่งที่เจ้าจินตนาการได้ในวันนี้มากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ที่เจ้าอาจจะต้องเผชิญหลังจากล่วงเกินสกุลเกาและสกุลลู่สองสกุลในเวลาเดียวกัน!
หลี่หู่เปิน ลมแรงรู้ถึงความแข็งแกร่งของต้นหญ้า แต่กลับพัดโค่นไม้ใหญ่ได้ หาใช่ข้าขู่ขวัญเจ้า ต่อให้เจ้าได้เป็นบุตรเขยเซี่ยงกงสมดังปรารถนาจริง แต่ก็ทำให้สกุลเกาเห็นถึงความชั่วร้าย การแต่งงานที่เกิดมาจากการบีบบังคับ วันหน้าจะเป็นโชคหรือเป็นภัยต่อเจ้ากันแน่ ไม่ต้องให้ข้าพูดกระมัง ถ้าเจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง ย่อมต้องคิดได้เอง…แต่ถ้าเจ้าทำไปเพราะจิตใจที่ชื่นชอบ เช่นนี้จึงจะคู่ควรต่อการช่วงชิงกับข้า…”
เขามองหลี่มู่แวบหนึ่ง เพิ่มน้ำหนักน้ำเสียงยิ่งขึ้น
“ข้าหวังว่าเจ้าจะไตร่ตรองให้รอบคอบ ข้าลู่เจี่ยนจือคบหาคน ไม่สนใจวงศ์ตระกูล เพียงดูนิสัยใจคอของคนผู้นั้น แต่ตระกูลขุนนางกับสามัญชนมีความแตกต่างกันอยู่ ประหนึ่งมีแผ่นฟ้าขวางกั้น เป็นสภาพปัจจุบันที่ไร้กำลังจะทำลายได้ เจ้าข้าจมลึกอยู่ในนั้น ไม่มีใครสามารถอยู่นอกเหนือ สำหรับการแต่งงานก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น ใช่ว่าข้าดูถูกเจ้า แต่ถ้าเจ้าทำไปเพราะจิตใจที่ชื่นชอบจริง เช่นนั้นเจ้าก็ยิ่งสมควรใคร่ครวญแทนนางให้มาก นางกับเจ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ยิ่งพูดไม่ได้ว่ามีการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดกัน เจ้าเคยคิดหรือไม่ เมื่อนางรู้เรื่องนี้เข้าจะคิดอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถ้านางถูกบีบบังคับให้แต่งกับเจ้าจริง ความไม่สะดวกต่างๆ ที่นางอาจจะต้องเผชิญในวันข้างหน้า…”
ลู่เจี่ยนจือลังเลอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดยังคงพูดออกจากปาก
“ความไม่สะดวกก็ยังพอว่า แต่สำหรับนางถ้าแต่งเข้าครอบครัวสามัญชนแล้ว ในสายตาของคนนอกก็คือการเสื่อมเสียเกียรติอย่างมาก หลี่หู่เปิน ถึงเจ้าจะทำไปเพราะจิตใจที่ชื่นชอบ ทว่าจะเอานางไปวางไว้ที่ใด จะให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของนางไปมาหาสู่กับญาติมิตรที่เคยคบหามาอย่างไม่สะทกสะท้านเช่นเมื่อก่อนได้อย่างไร หลี่หู่เปิน เจ้าอย่าได้ตำหนิที่ข้าพูดตรงจนถึงขั้นนี้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุหรือผล ที่ข้ากล่าวเช่นนี้ที่แท้แล้วมีเหตุผลหรือไม่ เจ้าควรลองใคร่ครวญดู”
หลี่มู่เพียงมองลู่เจี่ยนจือเงียบๆ ฟังเขาพูดต่อไปว่า
“นางไม่รู้เรื่องราวทางโลก จิตใจบริสุทธิ์ดีงาม ข้าไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าถ้าวันหน้านางต้องเผชิญกับสภาพความเป็นอยู่เช่นนั้น จะรับมือและจัดการกับตนเองอย่างไร…ข้าหวังอย่างจริงใจว่าเจ้าจะช่วยนางให้ได้สมปรารถนา ซึ่งก็เท่ากับช่วยตัวเจ้าเองให้ได้สมปรารถนาเช่นกัน”
ลู่เจี่ยนจือกล่าวจบ ถึงกับค้อมคำนับให้หลี่มู่จนต่ำ จากนั้นก็เหยียดร่างขึ้น มองจ้องหลี่มู่เขม็ง
ตอนลู่เจี่ยนจือกำลังพูด หลี่มู่ไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดลงอย่างรวดเร็ว สายลมในทุ่งกว้างยิ่งพัดแรง
ดวงตาของหลี่มู่คล้ายถูกย้อมไปด้วยสีที่มืดมนของโลกหลังพระอาทิตย์ตก ในขณะที่สีหน้าเขาก็ยิ่งดูสงบนิ่งมากขึ้น
“ข้าไม่กล้ารับการแสดงความเคารพเช่นนี้จากคุณชายลู่หรอก สิ่งที่คุณชายลู่กล่าวมาทุกคำล้วนมีเหตุผล แต่คุณชายลู่อาจไม่รู้ ในสายตาของข้าหลี่มู่ ไม่มีคำว่า ‘ช่วยให้ได้สมปรารถนา’ หากข้าช่วยผู้อื่นให้ได้สมปรารถนา แล้วใครกันจะช่วยข้าให้ได้สมปรารถนาบ้าง ในเมื่อข้าเอ่ยปากขอเกาลั่วเสินแห่งสกุลเกาแต่งงานแล้ว ข้าย่อมไม่ล้มเลิกกลางคัน โชคภัยจะสำเร็จหรือล้มเหลว ฟ้ารู้ดินรู้ แต่เจ้ากับข้าต่างไม่รู้ รอถึงวันเทศกาลฉงหยางย่อมรู้ผล”
เขาทำความเคารพตอบ ก่อนหมุนตัวไปแปรงขนอาบน้ำให้อูจุยต่อ
ลู่เจี่ยนจือมองหลี่มู่ หัวคิ้วขมวดมุ่น ฉับพลันก็หมุนตัวเดินจากไป เงาด้านหลังหายลับไปในแสงสลัวยามสายัณห์ที่หนาหนักดุจเมฆหมอกอย่างรวดเร็ว
“ขุนพลหลี่ เมื่อครู่เขามาหาท่านด้วยเรื่องใดหรือ”
หลิวหย่งที่แอบมองอยู่ไม่ไกลมาโดยตลอดวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ถามด้วยความอยากรู้
ทุกคนในกองทัพต่างรู้กันทั่ว อีกสองวันเมื่อถึงวันเทศกาลฉงหยาง เกาเซี่ยงกงจะทำการทดสอบหลี่มู่ที่ขอแต่งงานกับบุตรสาวของเขา
ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยวันนั้น วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ตลอดเวลา
หลี่มู่แปรงบนขนตัวม้าตรงจุดสุดท้ายเสร็จก็ลุกขึ้น โยนบังเหียนม้าให้หลิวหย่ง ยิ้มแล้วบอก “ท้องฟ้ามืดแล้ว กลับกันเถิด”