ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 11-บทที่ 12
เกาเฉียวออกจากค่ายทหารก็รีบเข้าเมืองเร่งรุดกลับจวน
หลายปีมานี้น้อยครั้งที่ชาวบ้านในเมืองเจี้ยนคังจะได้เห็นขุนนางชั้นสูงในราชสำนักใช้ม้าในการเดินทางบนท้องถนน
ตระกูลขุนนางเหล่านั้นไปไหนมาไหนล้วนนั่งรถเทียมวัว เห็นว่าสง่างามกว่า การขี่ม้าถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมของทหารชั้นต่ำ จู่ๆ เห็นเซี่ยงกงขี่ม้าจากประตูเมืองเข้ามา ใครบ้างไม่รู้จักเขาจึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ พากันหยุดมอง
เกาเฉียวร้อนใจดุจไฟเผา แทบอยากจะติดปีกบินกลับไปที่จวนในทันที ไหนเลยยังจะมาคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ เขาควบม้าไปถึงหน้าประตูใหญ่จวนสกุลเกาในรวดเดียว คนเฝ้าประตูกำลังยืนอยู่บนขั้นบันได มองซ้ายแลขวา ใบหน้าดูกระวนกระวาย ครั้นเห็นเกาเฉียวขี่ม้ามาแต่ไกลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบวิ่งเข้ามาหา
“เซี่ยงกง! เมื่อครู่องค์หญิงใหญ่กำลังถามหาเซี่ยงกงอยู่เชียวขอรับ! เซี่ยงกงก็กลับมาพอดี!”
เกาเฉียวในใจกระตุกวาบ
เมื่อคืนเขาปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้เซียวหย่งจยารู้ เพราะเข้าใจนิสัยของเซียวหย่งจยาดี กลัวนางรู้แล้วจะมีท่าทีตอบสนองรุนแรงเกินไป อาจทำให้เรื่องราวใหญ่โตบานปลายได้ หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว ในคืนนั้นเขาจึงไปหาเกาอิ้น บอกเล่าเรื่องราวให้รู้ และให้เขาออกหน้าไปพบหลี่มู่แทนตน สุดท้ายจะได้แก้ไขเรื่องนี้ไปอย่างเงียบๆ ให้หลี่มู่รู้ถึงความลำบากและยอมล่าถอย เรื่องนี้ให้ยุติลงแค่ตนและผ่านไปด้วยดี
ที่เขาคิดไม่ถึงก็คือเพียงชั่วเวลาแค่คืนเดียว เรื่องนี้กลับลุกลามจนถึงขั้นนี้แล้ว
เมื่อครู่ระหว่างทางกลับมา ในใจยังกอดความหวังอยู่จางๆ หวังว่าข่าวนี้จะยังมาไม่ถึงในจวน
ไม่ผิดจากที่คาด เขายังคงช้าไปก้าวหนึ่ง
เกาเฉียวหัวคิ้วขมวดมุ่น พลิกตัวลงจากหลังม้ารีบเดินเข้าไปห้องโถงด้านหลัง ทว่าไม่เห็นเงาร่างของบุตรสาว กลับปะทะเข้ากับสายตาที่มองมาของเซียวหย่งจยา
เซียวหย่งจยานั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าหม่นขรึม พอเห็นตนก็ลุกขึ้นมาทันที
“ท่านตามข้ามา!” น้ำเสียงแข็งกระด้างยิ่ง นางพูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปข้างใน
อาจวี๋มองมา ในดวงตามีความกังวล
เกาเฉียวเดินตามไปเงียบๆ เมื่อเดินมาถึงห้องด้านใน ประตูบานนั้นยังไม่ทันปิด เซียวหย่งจยาก็ตวาดขึ้น “เกาเฉียว! ท่านสติเลอะเลือนแล้วหรืออย่างไร ถึงกับทำเรื่องเช่นนี้ออกมา! ยกบุตรสาวของข้าให้ไปแต่งกับทหารนายหนึ่ง?”
เกาเฉียวรีบโบกมือ “อาลิ่ง เจ้าฟังข้าพูด! ไม่มีเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด!”
อาจวี๋ที่เดินตามมารีบช่วยปิดประตู ส่วนตนเองเดินออกไปห่างหน่อย สั่งบ่าวไพร่ไม่ให้เข้ามาใกล้
เรื่องมาถึงขั้นนี้เกาเฉียวย่อมไม่กล้าปิดบังอีก เขารีบเล่าความเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมดตามความเป็นจริง
“…ตอนนั้นเขาช่วยชีวิตจื่อเล่อไว้ ยามกะทันหันข้าไม่ทันระวังตัว เผลอตกปากรับคำไป ตอนนั้นไม่เคยคาดคิดว่ามาบัดนี้เขาจะเอ่ยปากขอแต่งงานกับอาหมี วันนี้จึงเรียกเขาไปที่เรือนริมทะเลสาบเชวี่ย คิดจะให้เขาล้มเลิกความคิดนี้ด้วยตนเอง เรื่องนี้ก็จะได้จบกันไป คิดไม่ถึงว่า…”
“ปัง!”
เซียวหย่งจยาเดือดดาลหนัก ตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ ขัดจังหวะคำชี้แจงของเกาเฉียว
“คนบ้าคลั่งผู้นี้มาจากที่ใดกัน! ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ อาศัยการช่วยชีวิตลิ่วหลางไว้ ถึงกับกล้าคิดเพ้อฝันมาถึงบุตรสาวของข้า!…ยังมีท่าน! เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นท่านถึงกับไม่บอกข้าสักคำ! ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้เรื่องเอะอะใหญ่โตขึ้นมา ท่านคิดจะปิดบังข้าไปเช่นนี้หรือ!”
เกาเฉียวไม่พูดอะไร เพียงปล่อยให้เซียวหย่งจยาบันดาลโทสะใหญ่โต ผ่านไปครู่หนึ่งเขาพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ “อาหมีเล่า นางรู้เรื่องแล้วหรือ”
นึกถึงอาการตอบสนองที่อาจเกิดขึ้นของบุตรสาวตอนได้ยินข่าวนี้ เขาก็อดละอายใจไม่ได้
เซียวหย่งจยายิ้มหยัน “ยังต้องให้ท่านถามรึ ข้าสั่งให้คนปิดบังนางตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อาจให้นางรู้แม้แต่น้อย! ทางสกุลลู่ก็ให้คนไปถ่ายทอดคำพูดแล้วด้วย!”
เกาเฉียวโล่งอก ก่อนกล่าวเสียงต่ำ “เรื่องนี้ต้องตำหนิข้าที่ใคร่ครวญไม่รอบคอบ เจ้าจะด่าอย่างไรก็ล้วนถูกทั้งสิ้น เจ้าผ่อนคลายโทสะลงบ้าง อย่าได้โกรธจนเสียสุขภาพเลย ข้าจะออกไปสักหน่อย จัดการเรื่องให้เรียบร้อยเสร็จสิ้น…เจ้าวางใจ ครั้งนี้จะต้องไม่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นอีก!”
“ท่านจะทำเรื่องอะไรได้สำเร็จอีก” เซียวหย่งจยายิ้มหยัน “ไม่ต้องให้ท่านยุ่งยากแล้ว! คนที่ชื่อหลี่มู่อะไรผู้นั้น ยังคงให้ข้าไปพบเขาด้วยตนเองดีกว่า ข้าอยากจะเห็นนัก ที่แท้แล้วเขามีสามเศียรหกกรหรืออย่างไร เหตุใดจึงไม่รู้จักประมาณตนถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้าหมายตาบุตรสาวของข้า!”
เรื่องที่เกาเฉียวกังวลมากที่สุดยังคงเกิดขึ้นมาจริงๆ เขารีบยับยั้ง “อาลิ่ง เจ้าไม่ต้องไปหรอก ยังคงมอบหน้าที่จัดการเรื่องนี้ให้ข้า ส่วนเจ้าก็อยู่บ้าน สงบใจรอฟังข่าวจากข้าเถิด”
“ชื่อเสียงของบุตรสาวถูกคนเหยียบย่ำเช่นนี้ ท่านจะให้ข้าสงบใจได้อย่างไร”
เซียวหย่งจยาเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ ผลักเกาเฉียวออกไป “ข้าจะไปเอง!”
“อาลิ่ง!”
เกาเฉียวกำลังขวางเซียวหย่งจยาไว้ นอกประตูก็มีบ่าวไพร่วิ่งเข้ามาคนหนึ่ง ร้องตะโกนผ่านประตูเข้ามา “เซี่ยงกง องค์หญิงใหญ่! มีคำพูดมาจากในวัง บอกฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เซี่ยงกงเข้าวัง ตรัสว่ามีเรื่องต้องการพบขอรับ”
สามีภรรยามองสบตากัน หยุดการเคลื่อนไหวไปทันใด
เพื่อจะเฉลิมฉลองชัยชนะใหญ่ที่เจียงเป่ย ราชสำนักจึงหยุดพักสามวัน
ยามนี้เกาเฉียวเร่งรุดมาถึงวังหลวงแล้ว
ฮ่องเต้ซิงผิงให้เกาเฉียวเข้าเฝ้าที่วังไท่ชู ด้านข้างคือสวี่มี่ ได้เข้าวังมาก่อนเขาแล้ว
ฮ่องเต้ซิงผิงกับองค์หญิงใหญ่เป็นพี่น้องร่วมพระมารดาเดียวกัน ฮ่องเต้ซิงผิงในวัยเด็กเคยเกือบถูกคนสังหารตอนอยู่ในวัง ครานั้นได้รับการปกป้องจากองค์หญิงใหญ่ สองพี่น้องจึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นพิเศษ กอปรกับเกาเฉียวแต่ไรมามีชื่อเสียงบารมี เป็นผู้นำของตระกูลขุนนาง ฮ่องเต้ซิงผิงจึงให้ความเกรงใจต่อเขาอย่างมากมาโดยตลอด
เกาเฉียวคุกเข่าถวายบังคม ฮ่องเต้ซิงผิงรีบลงจากตั่งประทับ แล้วประคองเขาขึ้นมา ตรัสยิ้มๆ “ที่นี่ไม่มีคนนอก ท่านไยต้องถือเคร่งในกรอบประเพณีกับเราเช่นนี้ เชิญนั่ง”
เกาเฉียวรีบบอกไม่ขาดปาก “มิกล้าๆ”
ฮ่องเต้ซิงผิงก็ไม่คิดฝืนใจเขา มองเกาเฉียวแล้วยิ้มตรัสว่า “เราตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ได้ยินนกสี่เชวี่ย ในอุทยานหลวงส่งเสียงร้องขับขาน เดิมก็นึกฉงนใจ นึกถึงว่าระยะนี้ในวังไม่มีเรื่องมงคลอะไรเลย เมื่อครู่ถึงได้รู้ว่าเพราะเหตุใดนกสี่เชวี่ยจึงส่งเสียงร้อง ได้ยินคนในวังพูดคุยกันว่าท่านยอมปล่อยวางความคิดเรื่องตระกูล ให้อาหมีแต่งกับหลี่มู่ เราจึงเรียกท่านสวี่มาถามดู ถึงได้รู้ว่าเรื่องนี้เป็นความจริง เราปลื้มปีติยิ่ง ศึกใหญ่ที่เจียงเป่ยในครั้งนี้หลี่มู่สร้างความดีความชอบในการรบชนะ ทอดสายตามองไปทั่วแผ่นดินต้าอวี๋เรา มีใครเทียบได้บ้างเล่า ยิ่งหาได้ยากที่ท่านไม่ลืมคำพูดในวันนั้น รับปากแล้วไม่คืนคำ ยอมยกอาหมีให้แต่งงานกับหลี่มู่ เป็นเรื่องที่ดีงามยิ่ง…เรายินดีจะเป็นเจ้าภาพจัดงานมงคลสมรสให้หลี่มู่กับอาหมี ท่านเห็นเป็นเช่นไร”
ฮ่องเต้ซิงผิงตรัสจบ สวี่มี่ก็หัวเราะหึๆ พลางกล่าว