ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 11-บทที่ 12
“จิ่งเซินอย่าได้ตำหนิพี่ชายว่าปากมาก ฝ่าบาทตรัสถาม ข้าไม่อาจไม่พูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่เป็นเรื่องที่ดี”
ก่อนเกาเฉียวจะเข้าวังก็คาดเดาอยู่ก่อนแล้ว เหตุใดจู่ๆ ฮ่องเต้จึงเรียกตนเข้าเฝ้าในช่วงหยุดพัก
เดิมทีในใจของเขาแอบมีเรื่องกังวลใจอยู่ เวลานี้เพราะคำพูดเหล่านี้ของฮ่องเต้ ความกังวลที่ซุกซ่อนอยู่ในใจมานานก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
หลังจากต้าอวี๋อพยพลงใต้ อำนาจฮ่องเต้ก็เสื่อมลงอย่างไม่อาจฟื้นคืนมาได้ ตระกูลขุนนางกับฮ่องเต้แทบจะทัดเทียมกัน
ฮ่องเต้ซิงผิงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่เยาว์วัยจนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลาสิบห้าปีแล้ว
เปรียบกับฮ่องเต้หลายพระองค์ก่อนหน้านี้ ยังไม่พูดถึงความสามารถชั่วคราว แต่เห็นชัดว่าฮ่องเต้ซิงผิงเป็นผู้ที่มีความปรารถนาจะฟื้นฟูพระราชอำนาจพระองค์หนึ่ง
เกาเฉียวสังเกตออกแต่แรกแล้ว ฮ่องเต้ซิงผิงลอบระแวดระวังตนไปเสียทุกทาง
ก่อนหน้านี้หลายปีฮ่องเต้หนุ่มเลือดร้อนได้แต่งตั้งขุนนางใหญ่สองคนที่มีชาติกำเนิดจากครอบครัวสามัญชนเป็นคนสนิท พยายามจะใช้กำลังของสามัญชนต่อต้านตระกูลขุนนาง เป็นเหตุให้สวี่มี่กับลู่กวงไม่พอใจ และมาหาเกาเฉียว ปรึกษาหารือว่าจะกำจัดสองคนนั้น
ตอนนั้นเกาเฉียวไม่ได้เข้าร่วมด้วย แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน
การที่ตนได้มาอยู่ในตำแหน่งเช่นนี้ โดยส่วนตัวจะโน้มเอียงไปทางใดนั้นหาใช่เรื่องสำคัญ
ไม่นานผู้ว่าการเมืองกุ้ยหลินก็อ้างเหตุว่าสองคนนั้นปลุกปั่นจิตใจฮ่องเต้ สร้างความวุ่นวายให้ใต้หล้า เป็นเหตุในการยกกำลังทหารขึ้นก่อการจลาจล ร้องขอให้ฮ่องเต้ซิงผิงกำจัดสองคนนั้นไปเสีย ตอนนั้นกองกำลังทหารที่ก่อจลาจลอานุภาพเกรียงไกรยิ่ง ข่มขู่จะบุกขึ้นเหนือ ฮ่องเต้หนุ่มโดดเดี่ยวขาดกำลังสนับสนุน ถูกบีบบังคับให้อับจนหนทาง จำต้องสั่งประหารสองคนนั้นทั้งน้ำตา การก่อจลาจลจึงได้สงบลง
และถัดจากนั้นเกาเฉียวได้นำกองทัพไปปราบปรามทางเหนือ ที่ต้องกลับมาด้วยความล้มเหลว นอกจากคนจากตระกูลที่มีอำนาจราชศักดิ์คอยแอบขัดขวางอยู่ข้างหลังแล้ว การอนุญาตโดยนัยของฮ่องเต้ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ใช่สาเหตุหนึ่ง
เรื่องเหล่านี้ผ่านไปหลายปีแล้วเวลานี้ฮ่องเต้ซิงผิงกับสกุลเกา สกุลสวี่ สกุลลู่ก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบ
แต่เกาเฉียวรู้ดี สองสามปีมานี้ตามชื่อเสียงบารมีของตนที่เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ความหวาดระแวงที่ฮ่องเต้มีต่อตนก็เปลี่ยนเป็นยิ่งล้ำลึกขึ้นแล้ว
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าเพราะเหตุใดครั้งนี้เขาจึงทุ่มเทกำลังสนับสนุนการทำศึก สุดท้ายยังเข้าบัญชาการกองทัพใหญ่ และได้รับชัยชนะจากการศึกที่เจียงเป่ยอย่างงดงาม แต่ในรายงานปูนบำเหน็จความดีความชอบ กลับไม่ได้เอ่ยถึงคุณูปการของตนกับญาติผู้น้องเกาอวิ่นแม้แต่น้อย
ในใจตนยิ่งไม่ใช่ไม่เคยเกิดความคิดจะอาศัยโอกาสนี้ถอนตัวออกไปหรือ
ยามนี้ได้ยินฮ่องเต้ซิงผิงจู่ๆ ก็ตรัสเช่นนี้พลางมองตนด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม เกาเฉียวพลันนิ่งเงียบไป
เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็คุกเข่าลงโขกศีรษะ “กระหม่อมขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเสกสรรปั้นเท็จ ในวันนี้หลี่มู่ได้ถอนคำพูดขอแต่งงานต่อหน้ากระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ไม่มีเจตนาจะยกบุตรสาวให้แต่งงานกับหลี่มู่ ฝ่าบาทโปรดทรงตรวจสอบให้แน่ชัดด้วย”
ฮ่องเต้ซิงผิงชะงักไปเล็กน้อย
“เอ๊ะ” สวี่มี่ร้องออกมาคำหนึ่ง ก่อนกล่าวต่อว่า “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า ไม่รู้ผู้ใดแพร่ข่าวออกมา เวลานี้ทั้งค่ายทหารไม่มีใครไม่รู้แล้ว ทุกคนแย่งกันเล่า บอกเซี่ยงกงรักษาสัจจะ ยอมทำลายความคิดเห็นที่แบ่งเป็นฝักฝ่าย ยกบุตรสาวให้แต่งงานกับหลี่มู่ หลี่มู่เดิมก็ครองใจทหารอย่างมากอยู่แล้ว มาบัดนี้เรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ เกรงว่านายทหารและทหารหาญเหล่านั้นรู้เข้าย่อมต้องผิดหวัง”
น้ำเสียงของสวี่มี่ดูเสียใจอย่างมาก
“ผู่เซ่อฝ่ายซ้ายลู่ ขอเข้าเฝ้า…”
ในเวลานี้เองก็มีคนในวังตะโกนลากเสียงยาวขึ้นที่ด้านนอก
ลู่กวงก้าวเร็วๆ เข้ามาข้างใน หลังจากถวายบังคมฮ่องเต้ซิงผิงแล้วก็หันไปทางสวี่มี่ กล่าวเสียงเยียบเย็นต่อเบื้องพระพักตร์ ไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย “ซือถู ท่านเองก็รู้ สกุลลู่ของข้ากับสกุลเกามีการหมั้นหมายกันไว้ หลี่มู่เป็นคนในกองทัพของท่าน กระทำการลบหลู่ข้ากับเกาเซี่ยงอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ท่านในฐานะผู้เป็นนายของหลี่มู่ ก่อนเกิดเรื่องจะไม่รู้แม้แต่น้อยนิดเชียวหรือ”
สวี่มี่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ยิ้มแล้วว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ เพียงแต่ผู่เซ่อฝ่ายซ้ายลู่ คำพูดของท่านออกจะไม่เหมาะสม หลี่มู่ขอแต่งงานกับบุตรสาวสกุลเกา ย่อมไม่รู้จักประมาณตน แต่จะนับเป็นการลบหลู่ได้อย่างไร ตอนนั้นเขาบุกเดี่ยวเข่นฆ่าสังหารเข้าไปในกองทัพข้าศึก ช่วยหลานชายจิ่งเซินออกมาได้ จิ่งเซินให้คำมั่นสัญญาต่อหน้าผู้คน วันหน้าถ้ามีข้อเรียกร้องอันใดก็จะรับปากทุกเรื่อง ทุกถ้อยคำยังดังอยู่ข้างหู มาบัดนี้หลี่มู่ขอแต่งงาน ต่อให้ข้ารู้เรื่องก่อน ขอถามหน่อยเถิด ข้าจะอาศัยสิ่งใดไปขัดขวาง”
เขายิ้มหยันขึ้น “อย่าว่าแต่ท่านพูดไม่ขาดปากว่าได้หมั้นหมายการแต่งงานกับสกุลเกาไว้เลย ทั้งสองครอบครัวเคยทำพิธีสามแม่สื่อหกพิธี กันหรือไม่เล่า ถ้ายังนั่นก็เป็นแค่ข้ออ้างที่เอามาปฏิเสธเท่านั้น! ทหารนับพันนับหมื่นนายเพิ่งทุ่มเทกำลังรักษาผืนแผ่นดินต้าอวี๋เราไว้ ถ้าทหารสูญเสียขวัญและกำลังใจ ภายหน้าใครจะยินดีรบเพื่อต้าอวี๋เรา”
สวี่มี่คุกเข่าลงอย่างเป็นทางการ “ฝ่าบาท หลี่มู่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของกระหม่อม กระหม่อมกับเขารับเกียรติและความอัปยศร่วมกัน! หากฝ่าบาทเห็นว่าการกระทำในครั้งนี้ของหลี่มู่เป็นการลบหลู่ล่วงเกินก็ขอให้ฝ่าบาททรงลงโทษเขา กระหม่อมยินดีร่วมรับโทษทัณฑ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ลู่กวงเดือดดาลยิ่ง ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ชี้หน้าสวี่มี่ตวาดขึ้น “สวี่มี่! ท่านคอยจุดไฟพัดกระพืออยู่ตรงกลาง มีเจตนาเช่นไรกันแน่”
สวี่มี่ยิ้มหยัน “ต่อเบื้องพระพักตร์ท่านถึงกับกล้าไร้มารยาทเช่นนี้ ในสายตาของท่านยังมีพระพลานุภาพของฝ่าบาทอยู่หรือไม่!”
ฮ่องเต้ซิงผิงหางตาหลุบต่ำ สีหน้าเครียดขึง ไม่พูดแม้แต่คำเดียว
ลู่กวงโกรธจนพูดไม่ออก ชี้หน้าสวี่มี่ ท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เกาเฉียวที่เมื่อครู่นิ่งเงียบมาโดยตลอด พลันเอ่ยปากขึ้น ทั้งสองหยุดโต้เถียงกัน ต่างหันมามองเขา
“ฝ่าบาท วันนั้นกระหม่อมเคยรับปากหลี่มู่จริง กระหม่อมไม่กล้าลืม มาบัดนี้หลี่มู่เอ่ยปากขอแต่งงานกับบุตรสาวของกระหม่อม ตระกูลขุนนางกับสามัญชนไม่แต่งงานกัน ฝ่าบาทก็ทรงทราบ…” เขาย่นหัวคิ้วน้อยๆ ลังเลอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดคล้ายตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เหลือบสายตาขึ้นมองฮ่องเต้ “กระหม่อมมีบุตรสาวเพียงคนเดียว รักทะนุถนอมนางดุจชีวิต หากไม่ใช่ผู้เก่งกล้าสามารถก็ไม่อาจแต่งงานกับบุตรสาวของกระหม่อม! กระหม่อมยินดีจะให้โอกาสเขาสักครั้ง ถือเป็นการทำตามคำมั่นสัญญาในวันนั้น”
ดวงตาสามคู่ล้วนมองมาที่เขาพร้อมกัน
“ถ้าหลี่มู่ผู้นั้นสามารถผ่านการทดสอบของกระหม่อมได้ กระหม่อมก็จะยกบุตรสาวให้แต่งกับเขา” เกาเฉียวพูดจบก็หันไปทางลู่กวง ยิ้มอย่างขออภัย “พี่ลู่ ข้าทำผิดต่อท่านแล้ว ท่านเห็นเป็นอย่างไร”
ลู่กวงงงงันไปครู่หนึ่ง ฉับพลันคล้ายตระหนักขึ้นมาได้ พยับเมฆบนใบหน้าจึงจางหายไป พยักหน้าบอก “ก็ดี! จะได้ไม่ถูกคนที่มีเจตนาไม่ดีกล่าวหาว่าสกุลลู่เราใช้อำนาจกดข่มผู้อื่น!”
สวี่มี่เองตอนแรกก็ตื่นตะลึง คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วเกาเฉียวถึงกับยังมีลูกไม้นี้อยู่ เขาหัวเราะฮ่าๆ “จิ่งเซิน จิตใจของท่านโน้มเอียงไปที่ใครบางคนอยู่แล้ว เกรงว่าถึงตอนนั้นคงยากจะหลีกเลี่ยงความไม่ยุติธรรมได้”
เกาเฉียวยิ้มบาง “ข้าขอเชิญท่านไปร่วมตัดสินด้วยกันเสียเลย”
เขาหันไปทางฮ่องเต้ซิงผิง “ฝ่าบาทได้โปรดทรงเลือกวันดีให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงผิงผงกศีรษะรับ “เช่นนี้ก็ดี อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลฉงหยาง เลือกวันนั้นเป็นวันทดสอบ ถึงตอนนั้นเราจะไปด้วยตนเอง ไปชมเกาเซี่ยงทดสอบบุตรเขย”