ทดลองอ่าน-บทที่1
ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น นกน้อยตื่นเช้ายืนเกาะอยู่บนกิ่งไม้ขับขานบทเพลงเบิกอรุณแผ่วเบา มันมองสำรวจกล่องกระดาษใต้ต้นไม้ที่เพิ่งปรากฏขึ้นในตอนเช้าของวันนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พลางคาดเดาว่าห่อกลมๆ เหมือนตัวหนอนดักแด้ในนั้นคืออะไร
เสียงเอี๊ยดดังขึ้น ประตูเหล็กข้างต้นไม้ถูกคนเปิดออกจากทางด้านใน ผู้หญิงวัยราวสี่สิบกว่าคนหนึ่งเดินถือไม้กวาดอันใหญ่ออกมากวาดพื้นหน้าประตูพอให้สะอาด เจ้านกน้อยบนต้นไม้ส่งเสียงร้องจิ๊บๆ อยู่เป็นนาน หมายจะบอกเธอว่ามีของบางอย่างอยู่ใต้ต้นไม้
ผู้หญิงคนนั้นถูกดึงความสนใจไปในที่สุด เธอหมุนตัวสาวเท้าสองก้าวไปที่ใต้ต้นไม้ อุ้มห่อกลมๆ ออกจากกล่องเล็กๆ ใบนั้น
เธอถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนพูดพึมพำกับตนเอง “นี่มันพ่อแม่ใจยักษ์ใจมารคู่ไหนอีกแล้วก็ไม่รู้ ในเมื่อไม่อยากมีลูกแล้วจะคลอดออกมาทำไม”
พูดจบเธอค่อยๆ เปิดมุมหนึ่งของผ้าห่อตัวเด็กออกดู ปากก็บ่นงึมงำไป “เด็กผู้หญิงตามเคย แบบนี้จะยกให้ใครก็ลำบาก เดี๋ยวนี้คนที่มารับอุปการะเด็ก อยากได้แต่เด็กผู้ชายกันทั้งนั้น…”
เธออุ้มทารกหญิงที่เพิ่งครบเดือนคนนั้นด้วยมือเดียวอย่างชำนิชำนาญ อีกมือหนึ่งถือไม้กวาดก้าวผ่านประตูเหล็กเข้าไปแล้วปิดประตูจากด้านใน กำแพงตึกที่เก่าคร่ำคร่าขาดการดูแลซ่อมแซมสะเทือนน้อยๆ ตามแรงกระแทก แม้แต่ป้ายชื่อสีลอกเลือนตรงข้างประตูยังพลอยสั่นระริกไปด้วย อักษรตัวโตสีดำจางๆ ไม่ชัดเจนบนนั้นพอจะอ่านออกได้ว่า ‘สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชุนเทียน’
เด็กทารกหญิงที่ถูกเอามาทิ้งไว้คนนี้เติบโตขึ้นจนมีอายุสองขวบ ถึงเรียกชื่อตนเองได้ชัดถ้อยชัดคำว่า ‘อี๋อวี้’ มีความหมายว่าหยกที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งไว้ชิ้นหนึ่ง
เสี่ยวอี๋อวี้ไม่ใช่เด็กฉลาด ยามที่พี่เลี้ยงเล่านิทานให้พวกเธอฟัง มักจะถามคำหนึ่งว่า… ‘ฟังเข้าใจไหมคะ’ เด็กในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าส่วนใหญ่ซึ่งล้วนหัวไวมากจะตอบเสียงดังฟังชัดว่า… ‘เข้าใจค่ะ/ครับ’
ส่วนเสี่ยวอี๋อวี้ไม่ตอบ เพราะเธอฟังตามไม่ทัน เวลาที่พี่เลี้ยงเล่าว่ากระต่ายนอนหลับตอนวิ่งแข่ง เธอจะพยายามนึกทบทวนว่า…ตอนคุณน้าเริ่มเล่านิทาน บอกว่ากระต่ายหรือว่าเต่านะที่วิ่งเร็ว
ดังนั้นพอเด็กที่ตอบว่า ‘เข้าใจ’ ได้รับแจกเยลลี่เม็ดหนึ่งกันถ้วนหน้า ทว่าอี๋อวี้กลับไม่ได้ ทั้งที่เธออยากกินเยลลี่หวานๆ มากเหมือนกัน แต่เธอไม่เข้าใจจริงๆ เลยไม่อยากโกหกคุณน้า
จนกระทั่งวันหนึ่งอี๋อวี้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว แม้มีหลายครั้งหลายหนที่เธอฟังไม่เข้าใจดังเก่า แต่เธอในตอนนี้ไม่เป็นเหมือนสมัยเด็กๆ ที่จะบอกเสียงดังอย่างทื่อๆ ว่า ‘ไม่เข้าใจ’ ในขณะที่คนอื่นตะโกนว่า ‘เข้าใจแล้ว’ เธอจะปิดปากเงียบ จากนั้นทำเครื่องหมายตรงจุดที่ฟังไม่รู้เรื่องไว้ก่อน รอมีเวลาว่างเมื่อไรก็จะหยิบมาอ่านซ้ำๆ จนกว่าจะเข้าใจ
อี๋อวี้ยอมรับว่าตนเองหัวไม่ดี ทั้งที่เธอใช้เวลาในการอ่านหนังสือและฝึกทำโจทย์มากกว่าใครๆ ตั้งหลายเท่า กลับสอบติดแค่มหาวิทยาลัยธรรมดาๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแห่งหนึ่ง
ทว่าเธอไม่คิดจะสอบใหม่ปีหน้า เพราะรู้ดีว่าที่สอบติดมหาวิทยาลัยนี้ก็ทำได้เกินมาตรฐานของตนเองแล้ว เธอจึงยื่นเรื่องขอกู้เงินเพื่อศึกษา และรับทุนหนึ่งพันหยวนจากผู้อุปถัมภ์ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแต่โดยดี แล้วเริ่มต้นชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
อย่าเห็นว่าคนอย่างอี๋อวี้ความจำไม่ดี ถึงโหมเรียนหนักแทบเป็นแทบตายก็มีผลการเรียนแค่ปานกลาง จริงๆ แล้วเธอเป็นคนใฝ่ดีและมุมานะบากบั่นมาก ด้วยเหตุนี้ตอนเลือกตั้งตัวแทนชั้นเรียนในวันเปิดเทอม เธอเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืนแนะนำตนเองอย่างแสนซื่อ และได้เป็นหัวหน้าชั้นไปแบบงงๆ
พออี๋อวี้ได้เป็นหัวหน้าชั้นก็ยิ่งขยันขันแข็งขึ้น คอยติดหน้าตามหลังเหล่าโหวซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา วิ่งวุ่นจัดแจงงานต่างๆ ทุกวัน นอกจากจะเข้าเรียน ทำการบ้าน ท่องตำราแล้ว เวลาที่เหลือล้วนทุ่มลงไปกับ ‘งานของห้อง’ ทั้งหมด นักศึกษาปีหนึ่งมีปัญหาจุกจิกหยุมหยิมเยอะที่สุด อีกทั้งทุกคนต่างเป็นเด็กใหม่ จะทำอะไรมักติดๆ ขัดๆ เสมออย่างเลี่ยงไม่ได้ ยังดีที่เธอดึงดันใจสู้ ถึงล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง ก็คว้าใบประกาศชมเชยชั้นเรียนดีเด่นมาครองติดต่อกันสองภาคการศึกษา
ด้วยเป็นเด็กกำพร้า ทำให้อี๋อวี้มีนิสัยเก็บตัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ถึงกระนั้นเธอกับเพื่อนร่วมชั้นกลับเข้ากันได้ไม่เลว แต่นั่นเป็นแค่เพราะว่าเธอรับปากอะไรไว้ ไม่มีเรื่องไหนที่ทำไม่ได้ นานวันเข้าเพื่อนฝูงก็พากันเรียกเธอเล่นๆ ว่า ‘ท่านหัวหน้าชั้น’ อย่างสนิทสนมเป็นเชิงแสดงความนับถือต่อเธอ
ในขณะที่อี๋อวี้เชื่อมั่นสุดใจว่าเธอมีความสามารถทำหน้าที่นี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งและฝันหวานว่าเมื่อรับตำแหน่งหัวหน้าชั้นครบสี่ปี จะได้อยู่ในรายชื่อคนที่ทางมหาวิทยาลัยจัดหางานให้นั่นเอง เธอกลับพ่ายแพ้ราบคาบในการเลือกตั้งใหม่ตอนปีสอง
คนที่ช่วงชิงตำแหน่งกับเธอเป็นสาวสวยชื่อว่าเฉินอิ๋ง ทั้งปีอี๋อวี้เคยคุยกับอีกฝ่ายแค่ไม่กี่ประโยค นั่นไม่ใช่เพราะว่าอี๋อวี้รู้สึกอึดอัดเวลาอยู่กับคนแปลกหน้า แต่เป็นตัวเฉินอิ๋งเองที่ไม่อยากเสวนากับเธอสักนิด ส่วนเธอก็ไม่ชอบชวนใครคุยก่อนเหมือนกัน หลังจากถูกเฉินอิ๋งปฏิเสธไมตรีด้วยการยิ้มโดยไม่พูดตอบสักคำหลายครั้ง ทั้งคู่ก็ไม่เคยวิสาสะกันอีกเลย
หกต่อยี่สิบเก้าเสียง! ในชั้นมีทั้งหมดสามสิบห้าคน หนำซ้ำเธอยังลงคะแนนให้ตนเองด้วย ผลปรากฏว่ายังแพ้หลุดลุ่ยอยู่ดี มันน่าอนาถใจขนาดไหนที่นอกจากคะแนนเสียงของเธอเองแล้ว ทั้งชั้นมีแค่ห้าคนที่เลือกเธอ! ทีนี้เรื่องจัดหางานให้หลังเรียนจบเป็นอันหมดหวัง คนหน้าตาธรรมดาไม่มีความสามารถโดดเด่นอะไรสักทางอย่างอี๋อวี้รู้สึกว่าชีวิตหลังเรียนจบของตนเองช่างมืดมนริบหรี่ยิ่งนัก
หากเรื่องที่น่าอนาถใจยิ่งกว่ายังรออยู่ข้างหลัง…อี๋อวี้ได้เป็นรองหัวหน้า แต่ก่อนเธอไม่เข้าใจหรอกว่ารองหัวหน้ามีไว้ทำอะไร แต่หลังจากรับตำแหน่งนี้ได้ครึ่งเดือน เธอรู้ซึ้งถึงใจเลย!
หน้าที่ของรองหัวหน้าก็คือ…เมื่อมหาวิทยาลัยจัดตัวแทนไปเข้าประชุมฟังรายงานต่างๆ สารพัด รองหัวหน้าเป็นคนไป การแถลงรายงานพวกนั้นก็ยืดยาวน่าเบื่อ แถมผู้บริหารบ้าน้ำลายบางคนยังชอบพร่ำพรรณนาเหตุผลที่สรุปสั้นๆ ได้ในสิบคำขยายความเป็นสุนทรพจน์นานเกินสองชั่วโมงกันเสียเหลือเกิน
หน้าที่ของรองหัวหน้าก็คือ…เมื่อเหล่าโหวอาจารย์ที่ปรึกษาสั่งงานหัวหน้าชั้น หัวหน้าชั้นจะมาบอกรองหัวหน้าอีกที พอเธอทำงานหามรุ่งหามค่ำจนเสร็จ เฉินอิ๋งก็รับความดีความชอบไปแบบสบายๆ แถมยังได้รับคำชมเชยต่อหน้าคนทั้งชั้นเรียนจากเหล่าโหว
หน้าที่ของรองหัวหน้าก็คือ..เมื่อมหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมทำความสะอาดครั้งใหญ่ตอนสุดสัปดาห์ ตัวแทนที่หัวหน้าชั้นคัดเลือกไว้แอบหนีงาน หัวหน้าชั้นก็จะเรียกตัวรองหัวหน้าไว้ และให้ไล่โทรศัพท์ติดต่อเพื่อนร่วมชั้นทีละคนให้มาทำงาน ต้องถูกคนด่าลับหลังจนจามไม่หยุดครึ่งชั่วโมง แถมต้องถือไม้ถูพื้นถูระเบียงทางเดินชั้นห้าทั้งชั้น ผลปรากฏว่าตอนเปิดประชุมใหญ่ในวันจันทร์ ห้องของเธอได้ที่หนึ่งจากการประเมินผลการทำความสะอาด อธิการบดีเรียกหัวหน้าชั้นออกไปตรงหน้าโต๊ะประธานพูดชมเชยต่อหน้านักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัย
หน้าที่ของรองหัวหน้าก็คือ..เมื่อแก๊งสาว ‘ติงต๊อง’ สี่ห้าคนซึ่งเป็นลูกน้องที่คอยปกป้องผลประโยชน์ของหัวหน้าชั้นอย่างเหนียวแน่นพูดว่ารองหัวหน้าแต่งตัวน่าเกลียด รองหัวหน้ากินหมั่นโถวสองลูกตอนเที่ยงทุกวัน รองหัวหน้าใส่กางเกงสองตัวสลับกันทั้งเทอมอะไรประมาณนี้ รองหัวหน้าก็จำต้องข่มใจไว้ จะโมโหไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาที่หัวหน้าชั้นยื่นซาลาเปาโก่วปู้หลี่ มาให้ ยิ่งต้องยิ้มรับไว้แล้วยังต้องไม่ลืมพูดขอบคุณด้วย!
อี๋อวี้เป็นคนโง่หรืออย่างไร เธอก็แค่ความจำไม่ค่อยดี คุณสมบัติด้อยไปนิด หน้าตาจืดไปหน่อย แต่อีคิวของเธอยังอยู่ในระดับปกติดีนะ
ถูกคนใช้ประโยชน์อย่างทนโท่ขนาดนี้แล้ว เธอจะไม่รู้อยู่แก่ใจเลยหรือ
แต่รู้แล้วจะทำอะไรได้ เลิกทำ? หากเป็นคนอื่นอาจจะล้มโต๊ะขว้างเก้าอี้ แหกปากดังลั่นว่า ‘ฉันไม่ทำแล้วโว้ย!’ จากนั้นต่อยหัวหน้าชั้นสักหมัดให้หงายหลังไปเลย
ทว่าอี๋อวี้ไม่ทำอย่างนั้น เฉินอิ๋งทั้งสวยทั้งอ่อนโยน เป็นที่รักของคนรอบตัวอย่างกับอะไรดี ถ้าเธอรังแกเฉินอิ๋ง คงต้องโดนเพื่อนร่วมชั้นรุมประณามยับแน่ เธอน่ะพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่จนชินเสียแล้ว คิดแค่ว่ามุ่งมั่นทำไปให้ถึงที่สุด เลยไม่เคยสร้างปัญหาให้หัวหน้าชั้นแม้แต่น้อย ตั้งหน้าตั้งตาเป็นรองหัวหน้าชั้นของเธอไปอย่างเจียมตัว เรียนหนังสือและทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียร
ตราบจนวันหนึ่งยามที่อี๋อวี้จบการศึกษาแล้วเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ในสำนักงานจัดหางาน ถึงเริ่มนึกเสียใจทีหลัง หากรู้แต่แรกว่างานหายากกว่าที่คิดไว้สิบเท่า ตอนนั้นน่าจะอัดยายนั่นให้น่วมสักตั้ง แย่งโอกาสมีงานทำหลังเรียนจบของเธอไปไม่พอ ยังให้เธอเป็นทาสรับใช้ตั้งสามปี…
“เฮ้ย! มีคนตกตึก”
“ว้าย! เลือด…เลือด…”
“กรี๊ด! ตกลงไปตายแล้ว”
ขณะที่เจ็บปวดอย่างรุนแรงไปทั้งสรรพางค์กาย อี๋อวี้ยังรำพึงในใจว่า ชาติหน้าจะไม่ขอเป็นคนโง่อีกเด็ดขาด!
“เหล่าไป๋ เจ้ามือไม้ว่องไวหน่อยสิ”
“พูดพล่ามอยู่ได้ หรือเจ้าจะทำเอง”
“ก็ได้ๆๆๆ เจ้าอย่ามือสั่นสิ รีบๆ ยัดนางเข้าไปเร็วเข้า”
เจ็บจัง…
นั่นใครส่งเสียงพูดอยู่กันนะ
อี๋อวี้รู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นเส้นบะหมี่ที่ถูกกดออกมาจากเครื่องรีดแป้ง ใครกำลังรัดตัวเธอเอาไว้นะ
“เรียบร้อย งานสำเร็จลุล่วง พวกเราไปกันเถอะเสี่ยวเฮย”
“เอ๊ะ? ไม่บอกอะไรนางบ้างหรือ”
“จะบอกอะไรเล่า ไม่ใช่ความผิดของพวกเราสักหน่อย เบื้องบนทำพลาด ส่งทารกหญิงไม่มีวิญญาณลงมา พวกเราเสียเวลาตั้งนานกว่าจะเสาะหาวิญญาณจากที่อื่นที่มีดวงชะตาเข้ากันได้ ถือว่าได้ทำบุญทำกุศลครั้งหนึ่งแล้ว”
“ที่เจ้าพูดก็ชอบด้วยเหตุผลดี จริงสิ เจ้าให้นางกินของสิ่งนั้นแล้วใช่ไหม”
“อ๊ะ! ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าคงลืมไป เอาล่ะ เสร็จแล้ว รีบไปกันเถอะ นางใกล้จะตื่นแล้ว เกิดมองเห็นพวกเราขึ้นมาจะยุ่ง”
อี๋อวี้ค่อยๆ ยกเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้น เพียงทันชำเลืองเห็นเงาร่างพร่าเลือนสีดำกับสีขาวสองสายหายวับไปกับตา
อี๋อวี้ลุกจากพื้นขึ้นมานั่งอย่างงุ่มง่ามแล้วเมียงมองไปรอบกาย เห็นทุ่งนาข้าวสาลีสีเหลืองแซมเขียวสุดลูกหูลูกตา ไกลออกไปเป็นทิวเขาสลับซับซ้อนติดต่อกันเป็นแนวยาวรางๆ มีดวงตะวันแรกรุ่งอยู่เบื้องหลัง ส่วนตนเองกำลังนั่งอยู่บนคันนาเอนหลังพิงต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งอยู่ในขณะนี้
ที่นี่ที่ไหนกัน…
อี๋อวี้เอื้อมมือไปคลำท้ายทอยที่เจ็บเล็กน้อย พลางทบทวนความจำอย่างละเอียด ดูเหมือนก่อนหน้านี้กำลังสมัครงานอยู่ในงานนัดพบแรงงานของสำนักงานจัดหางาน เพราะคนเยอะเกินไป เธอขี้เกียจจะเข้าไปเบียดเสียด เลยยืนพิงเสาตรงลานชั้นสามรอเพื่อนที่มาด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เสาต้นนั้นจะหัก ตัวก็ร่วงดิ่งลงมาจากชั้นสามในชั่วพริบตา ตอนนั้นรู้สึกแค่ว่าหลังจากเจ็บปวดไปทั้งเนื้อทั้งตัว ร่างกายก็ลอยขึ้นช้าๆ พอก้มหน้ามองพื้นอีกทีกลับเห็นคนรูปร่างหน้าตาเหมือนตนเองนอนจมอยู่กลางกองเลือด
ใช่แล้วเธอตกตึกลงมาตาย! ทว่าหลังจากนั้นล่ะ
ดูเหมือนเธอจะถูกเจ้าสองคนที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันและเรียกตนเองว่า ‘เฮยไป๋อู๋ฉาง’ ลากตัวไป ผู้คนรอบข้างคลับคล้ายมองไม่เห็นพวกเธอ เอาแต่มุงรอบศพพูดซุบซิบกัน คนใส่สูทสีดำกับสีขาวสองคนจูงเธอเดินไปนานมาก จากนั้นเธอก็หมดสติไปตอนกลางทางโดยไม่รู้ตัว
แต่ว่า…
อี๋อวี้ยกแขนขึ้นดูฝ่ามือเล็กๆ เปื้อนดินเลอะเทอะ ทั้งยังชายตาไปเห็นท่อนขาสั้นๆ ใต้เสื้อคลุมป้ายข้างสีฟ้าเทา เธอกระดิกเท้าเล็กๆ ที่สวมรองเท้าผ้าแบบโบราณสีเหลืองอ่อนแล้วเอามือลูบปาก มีคราบน้ำมูกน้ำลายเหนียวหนืดติดเกรอะกรัง
ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น!
คนตายไปแล้วควรจะไปเกิดใหม่ไม่ใช่หรือ ถ้าไม่ตกนรกก็ขึ้นสวรรค์ แต่ทำไมเธอถึงกลายเป็นเด็กคนหนึ่ง! หนำซ้ำยังเป็นเด็กที่แต่งตัวแบบคนโบราณด้วย!
อี๋อวี้ขมวดคิ้วเริ่มต้นขบคิดในหัว เพียงรู้สึกเจ็บแปลบตรงท้ายทอย ภาพพร่ามัวบางอย่างก็ไหลเข้ามาในห้วงสมองเร็วรี่ดุจกระแสน้ำ…หมู่บ้านเล็กๆ สตรีกลางคนในชุดโบราณสีหน้าเต็มไปด้วยความรักใคร่เมตตา เด็กชายที่ส่งยิ้มกว้างให้นาง กับเด็กชายที่ก้มหน้าก้มตาอ่านตำราเป็นนิจ ยังมีสายตาเวทนา สายตารังเกียจเดียดฉันท์…
อี๋อวี้คับอกคับใจ แม้มันจะน่าเหลือเชื่อมาก แต่ความเป็นจริงกับความทรงจำไม่ปะติดปะต่อเมื่อครู่นี้บอกเธออย่างชัดเจนแล้วว่าเหตุการณ์ในตอนนี้คือการข้ามมิติที่เห็นกันบ่อยๆ ตามอินเตอร์เน็ตช่วงนี้ คิดไม่ถึงว่าหลายวันก่อนเธอยังพูดเล่นกับเพื่อนว่าอยากย้อนเวลากลับไปสมัยราชวงศ์ชิงสั่งสอนยายแก่ตัวร้ายอย่างพระนางฉือสี่ สักตั้ง กรรมก็ตามสนองทันตาเห็นขนาดนี้
เธอเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยปีนี้ในสาขาภาษาและวรรณคดีด้วยผลการเรียนปานกลาง เดิมทีตั้งใจว่าจะหางานด้านเอกสารเป็นพนักงานบริษัทสบายๆ แต่คนที่มีคุณสมบัติธรรมดาอย่างเธอต้องเผชิญกับการฟาดฟันแย่งงานกันอย่างโหดร้าย งานยังหาไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าอุบัติเหตุครั้งเดียวจะพาเธอเข้าร่วมทัพผู้เดินทางข้ามเวลา ถูกส่งตัวกลับสู่ยุคโบราณด้วย ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกัน
ถึงเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครให้ห่วงหาอาทร แต่ไม่ได้อยากย้อนเวลากลับมาอยู่ในสังคมโบราณที่ไม่มีสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรงหรอกนะ ดีที่แม้เธอไม่นับว่าฉลาด ทว่ามีข้อดีที่สุดอยู่อย่างคือปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้เก่ง และสำหรับชาวทะลุมิติย้อนอดีตคนหนึ่ง นี่เป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่จะขาดเสียไม่ได้เลย
เมื่ออี๋อวี้เริ่มยอมรับความจริงได้และคิดตกแล้ว ความตื่นตระหนกในใจค่อยๆ สงบลงบ้าง ทางหนึ่งใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำมูกบนดวงหน้าเล็กๆ ออกจนเกลี้ยง ทางหนึ่งตรึกตรองถึงสถานการณ์ตรงหน้า
เมื่อขยับขาเล็กๆ แล้ว อี๋อวี้ก็ลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ยังดีที่เป็นผู้หญิง ไม่อย่างนั้นเธอไม่รู้จริงๆ ว่าจะเผชิญหน้ากับส่วนที่งอกเพิ่มออกมาอย่างไร ถึงการย้อนอดีตไม่ได้เป็นความประสงค์ของเธอ แต่คนที่ตายไปแล้วได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งก็นับเป็นเรื่องน่าดีใจ
เธอได้รับความทรงจำของร่างร่างนี้มาแล้ว กระนั้นพอนึกไปถึงภาพเหล่านั้นกลับรู้สึกคล้ายดูการฉายภาพนิ่ง ไม่ใช่แค่ว่ามันเป็นความทรงจำของคนอื่น เหตุผลข้อสำคัญที่สุดคือร่างร่างนี้เป็นเด็กสมองพิการตั้งแต่แรก! ซ้ำร้ายยังอยู่ในจำพวกที่พูดไม่เป็น กลั้นอุจจาระปัสสาวะไม่ได้ด้วย หรือเพราะเป็นอย่างนี้ เธอถึงข้ามมิติมาสิงอยู่ในร่างนี้ได้อย่างราบรื่น
เธอไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์มา แต่อย่างน้อยๆ วรรณคดีก็มีส่วนเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์นิดหน่อย จากความทรงจำบางส่วนของร่างกายนี้บอกให้รู้ว่าปีนี้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เพิ่งขึ้นครองราชย์ และเปลี่ยนชื่อรัชศกเป็นเจินกวน ถ้าอย่างนั้นดูเหมือนว่าขณะนี้จะเป็นยุคราชวงศ์ถังที่เจริญรุ่งเรืองและแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์จีน
ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน อี๋อวี้เคยอ่านคำอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์การข้ามมิติมาก่อน ถ้าเธอย้อนกลับไปในช่วงประวัติศาสตร์ที่มีอยู่เดิม ว่ากันตามทฤษฎีปริทรรศน์คุณปู่ แล้ว เธอจะไม่มีตัวตนอยู่ ดังนั้นเวลานี้เธอน่าจะอยู่ในมิติเวลาที่ใกล้เคียงกับราชวงศ์ถังมากถึงจะถูก
ไม่สำคัญว่าที่นี่เป็นราชวงศ์ถังที่แท้จริงหรือไม่ เธอมีชีวิตอยู่ได้อย่างไม่คาดฝัน ถือเป็นข่าวดีที่สุดในตอนนี้แล้ว
ไม่ง่ายกว่าจะเช็ดใบหน้าเล็กๆ ที่เหนียวเหนอะหนะจนสะอาดสะอ้าน พอเช็ดหน้าเสร็จอี๋อวี้ก็ชักกลุ้มใจ ผืนนากว้างใหญ่ขนาดนี้กลับไม่มีใครสักคน ในความทรงจำของเด็กหญิงผู้นี้ก็ไม่มีเส้นทางกลับบ้าน หรือนางต้องจับเจ่าเฝ้ารออยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าเกิดเด็กคนนี้แอบวิ่งออกมาเอง แล้วต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าคนในครอบครัวของนางจะออกตามหาเล่า
เสียงท้องร้องดังโครกครากทำให้อี๋อวี้ว้าวุ่นใจ รอคนน่ะเรื่องเล็ก แต่หิวข้าวนี่สิเรื่องใหญ่ หวังแค่ว่าอย่าให้นานเกินไปนักกว่าที่คนในครอบครัวของเด็กคนนี้จะหาคนเจอ
คิดถึงตรงนี้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงร้องเรียกไกลๆ ระลอกหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองไป เห็นเด็กโตคนหนึ่งวิ่งตะบึงมาตามคันนาที่เรียงรายเป็นระเบียบตรงเข้ามาหา ระหว่างทางยังย่ำเหยียบรวงข้าวสาลีตายราบไปตั้งเท่าไหร่ก็สุดรู้
“โธ่เสี่ยวอวี้!” เด็กชายวิ่งมาตรงหน้านาง มือหนึ่งเท้าเอวหายใจหอบแฮกๆ มือหนึ่งดึงแขนเล็กๆ พลางพูดเสียงขาดเป็นห้วงๆ “เจ้า…ทำให้ข้าตกใจแทบตาย ข้า…ข้าบอกให้เจ้า…รอข้าอยู่ตรงปากทางหมู่บ้านมิใช่หรือ…ไฉนเจ้าวิ่งมาในทุ่งนาเล่า”
อี๋อวี้นิ่งคิดแล้วไม่ได้อ้าปากพูด ถึงอย่างไรตอนนี้นางเป็นเด็กหญิงที่อายุสี่ขวบแล้วยังพูดไม่เป็น ส่วนเด็กชายพูดติดสำเนียงกวนจงเบื้องหน้านี้ตรงกับคนคนหนึ่งในความทรงจำของเด็กหญิง เขาตัวสูงกว่านางไม่น้อย ท่าทางน่าจะอยู่ในวัยสักแปดเก้าขวบ สวมชุดผ้าหยาบ เรือนผมสีดำรวบขึ้นใช้เชือกผูกผมเส้นหนึ่งรัดไว้กลางกระหม่อม ผิวหน้าที่กรำแดดจนคล้ำเล็กน้อยเป็นสีแดงเรื่อๆ เพราะออกแรงวิ่ง ดวงหน้าน้อยๆ นั่นดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างกับเจ้าหนูเสี่ยวเจิ้งไท่ คนคนนี้น่าจะเป็นหลูจวิ้น พี่รองของนางแล้ว
“ไปเถอะ พวกเรารีบกลับบ้านกัน ไม่เช่นนั้นประเดี๋ยวท่านแม่กลับมาจากตลาด รู้ว่าข้าวิ่งออกมาไกลแล้วยังพาเจ้ามาด้วย มีหวังฉวยไม้กวาดมาตีข้าตายเป็นแน่”
หลูจวิ้นเปลี่ยนไปจับมือเล็กๆ ที่ดำสกปรกของนาง นางชักมือหลบไม่ทัน น้ำมูกเปรอะเต็มมือเขา แต่เขาแค่กุมกระชับมือนางคล้ายไม่ใส่ใจ ทั้งสองเดินตามหลังกันเลียบเลาะคันดินคับแคบมุ่งหน้าไปทางภูเขา
ออกจากทุ่งนาแล้วเดินต่อไปอีกเกือบหนึ่งเค่อ ถึงมองเห็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลนักจากบนเนินเขาเตี้ยๆ จุดหนึ่ง มีดงไม้เขียวขจีรายล้อมอยู่รอบนอก ตรงกลางมีซุ้มประตูใหญ่ก่อจากเสาไม้สองต้นและมุงหลังคาด้วยฟาง แผงรั้วไม้ทอดตัวเป็นแนวออกไปสองข้าง ทางด้านหลังของหมู่บ้านติดกับเทือกเขาเขียวชอุ่มที่มองเห็นจากทุ่งนา ทั่วอาณาบริเวณสะอาดเรียบร้อย ดูท่าทางน่าจะมีคนอยู่อาศัยประมาณยี่สิบกว่าเหย้าเรือน
ขณะนี้อี๋อวี้ยังตัวเล็กอยู่ เดินมาตั้งนานขนาดนี้ย่อมรู้สึกอ่อนเปลี้ยเป็นธรรมดา ทั้งที่ใกล้ถึงรอมร่อ นางกลับรู้สึกขาแข็ง หนังตากระตุกริกๆ จึงก้าวเท้าช้าลงอย่างช่วยไม่ได้ ด้านหลูจวิ้นพลันคลายมือซ้ายที่จับจูงนางไว้ อุ้มนางลอยขึ้นจากพื้นพร้อมกล่าว “เพิ่งสังเกตเห็นว่าวันนี้เจ้าเป็นเด็กดีเพียงนี้! เหนื่อยแล้วกระมัง พี่รองอุ้มเจ้ากลับไปนะ”
อี๋อวี้อึ้งงันไปครู่หนึ่ง จวบจนเด็กชายย่างเท้าออกเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง นางถึงขยับตัวที่แข็งเกร็งอยู่สักหน่อยเอนลงพิงอกเขาอย่างโอนอ่อน สองมือยังอดโอบรอบคอเขาไว้ไม่ได้
นับแต่พบว่าตนเองย้อนกลับสู่อดีตและยอมรับความจริงได้ จนกระทั่งถูกคนในครอบครัวของร่างกายนี้อุ้มเอาไว้ คลับคล้ายว่าความหวาดหวั่นว้าวุ่นใจที่นางทำเป็นลืมไปเสียเริ่มมีทีท่าว่าจะเลือนหายไปแล้ว
นี่ทำให้นางหวนคิดถึงตอนเด็กๆ ที่พอเดินจนเหนื่อยแล้วมักหยุดพักข้างทางคนเดียว มองเด็กคนอื่นที่ซบอยู่ในอ้อมอกของพ่อแม่พี่น้อง ยามนั้นนางยังมโนภาพว่ามันเป็นความรู้สึกอย่างไร บัดนี้ดูเหมือนนางพอจะเข้าใจได้แล้วว่าเหตุใดเด็กที่ถูกอุ้มไว้ล้วนหัวเราะอย่างเบิกบานใจ คงเพราะได้รับความเอาใจใส่สินะ
ตั้งแต่แรกเริ่มนางมองเรื่องการย้อนกลับสู่อดีตนี้จากมุมของตนเองเท่านั้น ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าเด็กหญิงที่ถูกนางยึดครองร่างกายไว้ไปอยู่แห่งหนใด แต่พอตอนนี้ได้รับความรักจากคนในครอบครัวของอีกฝ่าย ความรู้สึกละอายใจถึงผุดขึ้นมาจางๆ
ทว่าสถานการณ์ในยามนี้ นางก็สุดปัญญาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้ ถ้าให้เลือกว่าจะใช้ชีวิตเป็นเด็กหญิงคนนี้ต่อไปหรือคืนร่างให้เจ้าของเดิม นางคงไม่ยอมหลีกทางให้แน่นอน นางทำได้เพียงอวยพรให้เด็กหญิงผู้นั้นได้ไปอยู่ในร่างใหม่ที่ดีๆ ไม่ต้องเป็นคนปัญญาอ่อนอีกต่อไป ถ้าจะให้นางรู้สึกผิดในใจมากไปกว่านี้ คงเป็นเช่นคำกล่าวว่ากระต่ายตายหมาจิ้งจอกร้องไห้ เท่านั้นเอง ถึงอย่างไรนางก็มิใช่คนประเสริฐถึงขั้นเสียสละตนเพื่อผู้อื่น
หลูจวิ้นอุ้มอี๋อวี้เดินต่อไปอีกระยะหนึ่งจนเข้าสู่หมู่บ้าน นางพิงซบอกเขาพลางแอบมองสำรวจภายในหมู่บ้านแห่งนี้ เรือนแทบทุกหลังล้วนมีลานไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่หน้าประตู บ้างก่อกำแพงดินเตี้ยๆ ล้อมชั้นหนึ่ง บ้างเพียงล้อมรั้วกั้น ด้านในเป็นตัวเรือนหลังคาแบนเรียบปูกระเบื้องหน้ากว้างไม่กี่ช่วงเสาดูว่างโหรงเหรง แล้วก็เพิงที่ก่อขึ้นเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ สตรีวัยกลางคนสองสามคนนั่งจับกลุ่มกันอยู่ริมถนนทำงานเย็บปักถักร้อยในมือไปพลาง พิศดูนางกับหลูจวิ้นที่เดินผ่านมาไปพลาง พวกนางแต่งกายด้วยชุดที่คล้ายคลึงกันและมีแค่สามสีคือขาว เหลือง เทา
อี๋อวี้ถูกสตรีวัยกลางคนพวกนั้นมองด้วยสายตาเวทนาบ้าง รังเกียจเดียดฉันท์บ้างจนรู้สึกอึดอัด นางซุกหน้ากับบ่าของหลูจวิ้น แต่แล้วพอนึกถึงอายุของตนเองขึ้นมา รู้สึกว่าทำท่าแบบนี้น่าขายหน้าอยู่สักหน่อยจริงๆ จึงยกศีรษะตั้งขึ้นดังเก่า เพียงแต่ไม่สบตากับพวกนาง
ทันใดนั้นหลูจวิ้นที่อุ้มนางอยู่หยุดฝีเท้าลงตรงหน้าประตูลานเล็กของเรือนชาวนาหลังหนึ่ง นางสัมผัสถึงความผิดปกติได้จึงหันหน้าไปดู แวบแรกก็มองเห็นสตรีกลางคนในชุดสีเทาเรียบง่ายหมดจดยืนอยู่ตรงนั้น
เดิมทีสตรีผู้นี้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดถลึงตามองเด็กชาย ครั้นแลเห็นสายตาเพ่งพินิจของบุตรสาว ดวงตาคู่นั้นละมุนลงประหนึ่งน้ำแข็งละลายในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน สีหน้าสีตาเปี่ยมไปด้วยร่องรอยอ่อนโยน นางคือมารดาของอี๋อวี้ที่ใครๆ เรียกขานกันว่า ‘หลูเอ้อร์เหนียง’
จะกล่าวไปแล้วหลูซื่อ ผู้นี้เป็นหญิงที่หาพบได้ยากยิ่ง เมื่อสี่ปีเศษที่แล้วนางโยกย้ายจากแถบกวนจงมายังหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่าหมู่บ้านเค่าซานในเขตสู่จงแห่งนี้ ยามนั้นนางพาลูกมาสองคน ซ้ำยังตั้งครรภ์เจ็ดเดือน บอกว่าตนเองเป็นหญิงม่าย พอสามีตายแล้วถูกตระกูลของสามีขับไล่ไสส่ง นางซื้อเรือนที่มีอยู่เดิมหลังหนึ่งต่อจากผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งก็คือเรือนหลังน้อยที่พวกนางอาศัยอยู่ในเวลานี้ ทั้งยังซื้อหาที่นาว่างเปล่าสามสิบหมู่ ตรงข้างหมู่บ้านไว้ และจ้างชาวนาปลูกข้าวเก็บเกี่ยวผล ก็พอมีกินอิ่มท้องไปได้ทั้งปี
ในความทรงจำของอี๋อวี้มีภาพของหลูซื่อปักผ้าเช็ดหน้าหรือเย็บพื้นรองเท้ามากมาย ยังมีท่าทางของนางยามสอนหนังสือบุตรชาย หญิงชาวนาสามัญนางหนึ่งทั้งปักผ้าเป็นทั้งอ่านออกเขียนได้ ซ้ำยังอบรมสอนสั่งบุตรชายได้ ถือเป็นสตรีที่ดีเลิศโดยแท้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นตระกูลใดกันที่ขับไล่หญิงม่ายผู้มีความสามารถเพียบพร้อมเยี่ยงนี้ อีกทั้งยอมให้นางพาบุตรชายมาด้วยอีก
หลูซื่อสืบเท้าสองก้าวเข้ามาอุ้มอี๋อวี้ที่ทบทวนความหลังอยู่มาจากวงแขนของหลูจวิ้น เอามือหนึ่งรองใต้บั้นท้าย อีกมือหนึ่งประคองตรงบั้นเอวของบุตรสาว ให้นางได้ซุกตัวแนบชิดอ้อมอกตน ปากก็ส่งเสียงกล่อมเบาๆ “อวี้เอ๋อร์กลับมาแล้ว”
สิ่งที่น่าสังเกตคือชื่อของนางยังคงเป็นอี๋อวี้ อีกทั้งหลูซื่อคงจะไม่พึงพอใจตระกูลของสามีมากถึงให้ลูกทั้งสามคนเปลี่ยนมาใช้แซ่ตามตนเอง ช่างเป็นมารดาที่เข้มแข็งเหลือหลายจริงๆ
หลูซื่ออุ้มนางไว้ด้วยท่วงท่าที่ดีกว่าหลูจวิ้นมาก นางมิใช่คนหน้าบางมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่มีความรู้สึกว่ายึดครองมารดาผู้อื่นไป กลับอิ่มเอมใจกับความรักในครอบครัวที่ไม่เคยมีมาก่อนนับตั้งแต่เกิดมายี่สิบกว่าปี มันไม่ต่างจากความรู้สึกตอนที่หลูจวิ้นอุ้มนางเมื่อครู่นี้ เพียงแต่อ้อมกอดของมารดาทำให้นางอบอุ่นเป็นสุขยิ่งกว่า
หลูซื่ออุ้มอี๋อวี้ก้าวเข้าสู่เรือนแล้วเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง หลูจวิ้นที่ด้านหลังก็เดินก้มหน้าตามเข้ามา นางวางตัวบุตรสาวลงบนเตียงไม้กระดานซึ่งตั้งชิดผนังในห้องอย่างเบามือ จากนั้นสาวเท้าไปที่ลานเรือนหยิบไม้กวาดอันใหญ่ถือไว้ในมือเดินย้อนกลับมาแล้วหวดใส่หลูจวิ้น
เขาก็ใจเด็ด ยืนอยู่ในห้องยอมให้นางฟาดหลังทีแล้วทีเล่าโดยไม่ปริปากร้องสักแอะ หลูซื่อตีไป ปากก็พูดสั่งสอนไป “ข้าเรียกให้เจ้าเฝ้าน้องเอาไว้ เจ้ากลับพานางไปข้างนอก เหตุใดถึงอยู่ไม่สุขแบบนี้”
นางตีไปเจ็ดแปดที สุ้มเสียงก็เจือรอยสะอื้น “สมองของอวี้เอ๋อร์ไม่ค่อยปกติ เจ้ายังพานางออกไปวิ่งเพ่นพ่าน นิสัยเจ้าเป็นเยี่ยงนี้ เกิดทำนางพลัดหายไปจะให้ข้าทำอย่างไร” หลูซื่อกล่าวเสียงเครือ มือก็ผ่อนแรงลงหลายส่วน นางหวดไม้กวาดอีกสองที ก่อนจะนั่งแปะลงบนธรณีประตู เริ่มสะอื้นไห้เบาๆ
พอนางร้องไห้แบบนี้กลับทำให้หลูจวิ้นสะดุ้งตกใจ เขาหมุนกายคุกเข่าให้มารดาเอ่ยอย่างแตกตื่นลนลาน “ท่านแม่อย่าโมโหเลยนะขอรับ เป็นจวิ้นเอ๋อร์ไม่ดีเอง ไม่ควรเห็นแก่เล่นสนุก ท่านแม่อย่าร้องไห้เลย ตีข้ายังดีเสียกว่า” เห็นมารดาเอาแต่ร่ำไห้ไม่แยแสตน เขาสะบัดมือตบหน้าตนเองแรงๆ แล้วกล่าวต่อ “ลูกสมควรตาย!”
ฝ่ามือที่สองของเขายังไม่ทันกระทบแก้มก็ถูกหลูซื่อขวางไว้อย่างว่องไว นางคว้าตัวบุตรชายมาไว้ในอ้อมอก ทั้งคู่กอดกันร้องไห้จนลืมเลือนอี๋อวี้บนเตียงไปชั่วขณะ
เวลานี้อี๋อวี้ถึงหายตกตะลึงจากการลงโทษเฆี่ยนตีในครอบครัว นางมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าโดยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนในครอบครัวนี้ เห็นพวกเขาเสียใจถึงปานนั้น พาให้ในใจเจ็บแปลบปลาบเป็นระลอก พอร้อนใจขึ้นมาก็ส่งเสียงเรียกคำหนึ่งโดยไม่ยั้งคิด “แม่!”
ราวกับนางใช้เรี่ยวแรงสุดตัวถึงเปล่งเสียงเรียกคำนี้ออกมาได้ มาตรว่าเสียงจะแหบพร่าทว่าชัดเจนมาก ชั่วอึดใจเดียวสองคนที่ยังร้องห่มร้องไห้อยู่หันหน้ามามองพร้อมกัน ในดวงตาของพวกเขาทั้งคล้ายตกใจแกมยินดี ทั้งคล้ายงุนงงระคนกังขา บันดาลให้บรรยากาศชวนปวดใจผ่อนคลายไปด้วย
หลังจากอี๋อวี้ส่งเสียงเรียกไปแล้วนึกเสียใจทีหลังอยู่สักหน่อย แม้นางไม่ตั้งใจจะแสร้งทำปัญญาอ่อนต่อไป แต่ไม่ได้คิดจะ ‘หายดี’ อย่างรวดเร็วเพียงนี้ กระนั้นเมื่อเห็นแววยินดีปรีดาในดวงตาของสองแม่ลูกคู่นั้น นางใจอ่อนยวบโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ช่างเถิด หายดีก็หายดี เวลานี้นางยึดครองร่างกายผู้อื่นไปแล้วก็ต้องทำหน้าที่ที่สมควรทำให้ดีที่สุด
คนที่ตั้งสติได้ก่อนคือหลูจวิ้น เขาตะกายลุกพรวดขึ้นจากพื้นพุ่งเข้ามาคว้าหมับที่แขนนาง พูดเสียงร้อนรน “เสี่ยวอวี้ เมื่อครู่นี้เจ้าเรียกท่านแม่แล้วใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่เสี่ยวอวี้”
อี๋อวี้เห็นเขาทำสีหน้าตื่นเต้น พอเอี้ยวคอไปยังมองเห็นดวงตาบวมแดงเรื่อๆ ของหลูซื่อกำลังจับจ้องตนเองเขม็ง นางยิ่งใจอ่อนลงอย่างสุดระงับ
ด้วยเหตุนี้นางอ้าปากเรียกแม่อีกคำโดยปราศจากความลังเลใดๆ ครานี้แม่ลูกสองคนดีอกดีใจเจียนคลั่งกันเลยทีเดียว
หลูจวิ้นอุ้มนางไว้แล้วเริ่มหัวเราะร่า ฝ่ายหลูซื่อก้าวฉับๆ เข้ามาแย่งตัวนางไปไว้กับอ้อมแขนตนเอง ตะแคงตัวลงนั่งบนเตียงแล้ววางนางไว้บนตัก พูดกับนางอย่างตื่นเต้น “อวี้เอ๋อร์ เรียกแม่อีกคำนะ เรียกแม่สิ”
อี๋อวี้ส่งเสียงเรียกติดๆ กันสองครั้งอย่างว่าง่าย ถึงกับส่งผลให้หลูซื่ออุ้มชูตัวนางขึ้น และร้องตะโกนซ้ำๆ ด้วยความคึกคักร่าเริง “อวี้เอ๋อร์พูดเป็นแล้วๆ ลูกรักของแม่พูดเป็นแล้ว”
เห็นหลูซื่อปลาบปลื้มปีติจากส่วนลึกของจิตใจ อี๋อวี้เริ่มรู้สึกลำคอตีบตัน กระแสอารมณ์บางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเอ่อท้นตรงกลางอกช้าๆ ทั้งที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายหาได้มีความรู้สึกนี้ต่อวิญญาณที่มาจากพันปีข้างหน้าอย่างตน แต่นางยังตื้นตันใจอยู่ดี หวังจากใจจริงว่าสายสัมพันธ์นี้จะเป็นของตนเอง ไม่ว่านางจะวางท่าเฉยเมยอย่างไร ปากพูดว่าความรักในครอบครัวไม่สำคัญอย่างไรสักเพียงใด เด็กกำพร้าคนหนึ่งอย่างนางกลับปรารถนาความอบอุ่นในครอบครัวอยู่ในใจเสมอมา ยามนี้ก็อนุญาตให้นางได้ยึดครองความผูกพันที่เดิมมิได้เป็นของของตนเองเหล่านี้ไว้ แสร้งทำเป็นว่าทั้งหมดนี้เป็นของของนางอย่างเห็นแก่ตัว
“เสี่ยวอวี้ เรียกพี่ชายสักคำ เรียกพี่ชายสิ”
“ใช่ เรียกพี่ชายสิ” หลูซื่อวางนางลงนั่งบนตักอีกครั้ง หลูจวิ้นขยับเข้ามาใกล้ ทั้งคู่มองนางด้วยแววตาคาดหวัง นี่ทำให้หลูอี๋อวี้ซึ่งมีอายุยี่สิบกว่าแล้วยังต้องแสร้งทำเป็นเด็กหน้าแดงด้วยความอายน้อยๆ แต่นางยังคงเรียกพี่ชายคำหนึ่งอย่างเชื่อฟัง พอเห็นเด็กชายยิ้มจนปากแทบฉีกถึงหู รวมถึงน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มที่นองหน้าหลูซื่อแล้ว นางก็คลี่ยิ้มไปด้วยอย่างสุดจะห้าม
นางรู้สึกจริงๆ ว่าตนเองโชคดีมากที่หลังจากตกตึกตายแล้วย้อนเวลากลับมาในยุคโบราณ กลับได้รับความรักในครอบครัวที่ปรารถนามาโดยตลอด
จะไม่ให้นางรู้สึกโชคดีได้อย่างไรเล่า ถึงช่องว่างระหว่างยุคสมัยยังคงอยู่ กระนั้นสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นตรงหน้าทำลายกำแพงในใจของนางลงแล้ว ไม่ว่านางจะมายังที่แห่งนี้ได้อย่างไร ในเมื่อสวรรค์ส่งนางมาที่นี่ นางก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตเป็นเด็กหญิงคนนี้อยู่ต่อไป
คิดได้เช่นนี้ ความรู้สึกผิดก่อนหน้านี้ยิ่งลดน้อยลง นางไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว แล้วก็ไม่ชอบดันทุรัง มัวนึกละอายใจที่ครอบครองความสุขของคนอื่นไว้ อีกทั้งจะไม่ปล่อยให้ตนเองจมจ่อมกับความสับสนทุกข์ใจ แต่ไรมานางคิดอะไรง่ายๆ พยายามใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่ไปหมกมุ่นกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว บัดนี้นางแค่อยากพยายามเป็น ‘อี๋อวี้’ ในยุคอดีตนี้ให้ดีๆ
เมื่อหลูซื่อสงบอกสงบใจลงได้บ้างในที่สุด นางวางตัวอี๋อวี้ในอ้อมแขนลงนั่งกลับไปบนเตียง และไต่ถามบุตรชายข้างกายด้วยน้ำเสียงฉงนใจ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าพานางออกไปข้างนอกคราเดียวกลับมาก็หายเป็นปกติดีแล้ว”
หลูจวิ้นเกาหัวอย่างงุนงงพลางพูดตอบ “ข้าก็ไม่รู้ขอรับ บอกแล้วท่านแม่อย่าตีข้าอีกนะ เจ้าอ้วนหลิวที่ทางตะวันออกของหมู่บ้านชวนข้าไปเล่นที่คันนา ข้าเลยพาเสี่ยวอวี้ไปด้วยกัน ตอนหลังเขาด่าน้องเล็กว่าปัญญาอ่อน ข้าโมโหขึ้นมาเลยชกต่อยกับเขาจนไม่ได้จับตาดูไว้ นางก็หายตัวไป ตอนนั้นข้าร้อนใจแทบตาย ตามหาอยู่นานสองนานถึงหานางพบในที่นาของบ้านเรา ท่านแม่รู้หรือไม่ พอข้าพานางกลับมาจากที่นั่น นางเป็นเด็กดีกว่าที่ผ่านมามาก ไม่มีน้ำลายไหลยืดเลอะเทอะแล้วยังเดินเองด้วยขอรับ”
หลูซื่อฟังเขาพูดแล้วตอนแรกอยากจะบันดาลโทสะ ต่อมากลับข่มอารมณ์ชั่วแล่นไว้ ขมวดคิ้วตรึกตรองเป็นนาน ก่อนหันไปพูดเสียงอ่อนโยนกับอี๋อวี้ช้าๆ ทีละคำอย่างไม่แน่ใจ “อวี้เอ๋อร์ เจ้าฟังที่แม่พูดเข้าใจหรือไม่”
อี๋อวี้นิ่งคิดแล้วเห็นว่าในเมื่อตอนนี้ไม่ต้องแกล้งปัญญาอ่อน ก็ทำตัวเป็นเด็กปกติคนหนึ่งไปเลยแล้วกัน ถึงอย่างไรเวลานี้นางมีอายุสี่ขวบเป็นวัยที่พูดคุยโต้ตอบกับคนอื่นได้แล้ว ด้วยเหตุนี้นางพยักหน้ากับหลูซื่อเป็นเชิงบอกว่าตนเองเข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย
หลูซื่อเห็นปฏิกิริยาตอบกลับนี้แล้วผลิยิ้มอีกครา
“แล้วอวี้เอ๋อร์จำเรื่องเมื่อก่อนได้หรือไม่” หลูซื่อซักถามต่อ ดูท่านางกลัวว่าบุตรสาวหายดีแล้วจะลืมเรื่องราวตอนที่ปัญญาอ่อนไป ตามหลักแล้วเด็กในวัยนี้มักจดจำอะไรไม่ได้มากนัก แต่ยุคนี้ยังไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์อะไร ดังนั้นอี๋อวี้พยักหน้าให้นางอีก
หลูซื่อตื่นเต้นอีกระลอกหนึ่ง ตั้งท่าจะถามอะไรบางอย่างต่อ แววตากลับหม่นลงฉับพลัน นางแลมองดวงหน้าเล็กๆ ของบุตรสาวแล้วเริ่มใจลอยทีละน้อย แม้อี๋อวี้ถูกนางมองจนชักใจคอไม่ดี แต่สงบใจลงได้แล้วอย่างรวดเร็วและสบตานาง พยายามทำสายตาใสซื่อไม่รู้ประสีประสาสุดกำลัง ถึงจะรู้สึกอึดอัดใจที่ต้องทำเป็นไร้เดียงสาอยู่บ้าง ทว่าก็รู้ว่าตนเองจำเป็นต้องทำอย่างนี้ ไม่ว่าเพื่อจะได้มีญาติพี่น้องหรือว่ามีชีวิตอยู่ต่อไป
หลูจวิ้นเห็นมารดาเหม่อมองน้องสาวตาลอย ก็ยื่นมือไปกระตุกเสื้อของนางอย่างอดใจไม่อยู่ ทำให้นางดึงความคิดคืนมาแล้วหันไปสั่งกำชับบุตรชาย “เจ้ารีบไปตามพี่ใหญ่มา บอกข่าวดีนี้กับเขา และเรียกให้เขากลับมาก่อน ส่วนเจ้าค่อยๆ ขี่วัวกลับมา”
“ขอรับ!” หลูจวิ้นขานรับเสียงหนึ่งแล้ววิ่งออกไปอย่างเริงร่าสดใส ในห้องหลูซื่อกอดอี๋อวี้ไว้แนบอกอย่างรักใคร่หวงแหนเนิ่นนาน
ชั่วครู่ใหญ่ต่อมา สีหน้าของหลูซื่อกลับเป็นปกติแล้ว สายตาไม่ฉายแววเดี๋ยวตื่นเต้นเดี๋ยวเลื่อนลอยละม้ายที่เพ่งมองนางเมื่อครู่นี้ อี๋อวี้ลอบถอนหายใจโล่งอก นางอ้าปากหาวทีหนึ่งอย่างเริ่มรู้สึกวิงเวียนง่วงงุน หลังจากวุ่นวายมาครึ่งค่อนวัน ร่างกายของเด็กน้อยอ่อนเยาว์ย่อมทานทนไม่ไหวเป็นธรรมดา หลูซื่อเห็นท่าทางของนางก็เปลี่ยนท่าอุ้มให้นางสบายตัวขึ้น มือหนึ่งยังตบหลังนางเบาๆ
อี๋อวี้คิดคำนึงว่าได้งีบหลับในอ้อมอกมารดาสักครู่หนึ่งก็ดีเหมือนกัน แต่นางเพิ่งปิดเปลือกตาลงได้ไม่นาน ชะรอยว่าหลูซื่อนึกว่านางหลับไปแล้ว ถึงกับพึมพำกับตนเองเบาๆ ว่า “ลูกแม่ นี่มันช่างคล้ายฝันไปจริงๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสี่ปีมานี้นี่เป็นคราแรกที่แม่ดีใจถึงเพียงนี้ ตอนตั้งครรภ์เจ้าต้องลำบากลำบนไม่น้อย ยังไม่ครบกำหนดก็คลอดเจ้าออกมา พอเจ้าย่างสองขวบแม่เพิ่งพบว่าเจ้าไม่ปกติ ท่านหมอทั้งหลายต่างลงความเห็นกันว่าเพราะแม่เลินเล่อตอนตั้งครรภ์ เจ้าเลยต้องสติปัญญาไม่สมประกอบไปชั่วชีวิต แม่มีชีวิตอยู่ถึงปูนนี้ กระทำสิ่งใดไม่เคยนึกเสียใจทีหลังมาก่อน มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ทำให้แม่ได้ลิ้มรสชาติความรู้สึกนี้ ใช่หรือไม่ว่าครั้งนั้นแม่ดื้อรั้นเกินไปถึงทำร้ายเจ้า…สวรรค์เมตตาลูกของแม่ สุดท้ายทุกสิ่งล้วนผ่านพ้นไปแล้ว”
อี๋อวี้ฟังนางพึมพำกับตนเองก็นึกถึงที่แต่ก่อนมีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเคยพูดว่าคนสมองพิการเพราะมีวิญญาณไม่ครบดวง ยิ่งกว่านั้นยังมีบางคนที่กลับชาติมาเกิดใหม่แต่วิญญาณหายไปตอนคลอด แม้เป็นความเชื่องมงาย แต่เวลานี้ดูไปแล้วเหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง หาไม่แล้วไฉนคนปกติคนหนึ่งถึงถูกคนที่มาจากอนาคตอย่างนางสวมร่างได้ ไม่แน่ว่าเด็กคนนี้อาจจะไม่มีวิญญาณเลยดึงดูดนางมาหา ความคิดเพ้อเจ้อของนางกลับสอดคล้องกับความจริงสองสามส่วน ตอนนี้ก็พักเรื่องนี้ลงก่อนชั่วคราว วันหน้าย่อมไขคำตอบได้เอง
อี๋อวี้หลับไปพร้อมกับเสียงกระซิบของหลูซื่อ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด คนนอนไวอย่างนางถูกเสียงตะโกนเรียกปลุกให้ตื่นขึ้น เด็กหญิงเพิ่งลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียพลันได้ยินเสียงร้องปรามแผ่วเบาของหลูซื่อ นางหันหน้าไปดู เพียงเห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนหายใจกระหืดกระหอบอยู่หน้าประตูมองนางด้วยแววตาวาววับ พริบตาเดียวภาพเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับเขาบางส่วนก็ผุดขึ้นมาในหัว เห็นทีว่านี่คือหลูจื้อ พี่ใหญ่ของนางแล้ว
หลูซื่อก้มหน้าลงเห็นอี๋อวี้ถูกปลุกให้ตื่นก็ตวัดมองหลูจื้อแวบหนึ่งด้วยสายตาตำหนิ เขากลับไม่กลัวนาง รอเมื่อหายใจเป็นปกติแล้วจึงเดินลิ่วๆ มาที่ข้างเตียงเรียกขานมารดาคำหนึ่งอย่างเคารพนับถือก่อน ถึงจับจ้องน้องสาวอีกคราด้วยท่าทางแฝงความตื่นเต้นน้อยๆ
อี๋อวี้แลมองใบหน้าหมดจดเกลี้ยงเกลาของเขา ลอบรำพึงว่านี่ก็เป็นเจ้าหนูเสี่ยวเจิ้งไท่แห่งราชวงศ์ถังอีกคนแล้ว แค่ดูจากท่าทางเขาก็รู้ว่าเขาห่วงใยน้องสาวของตนปานใด
ฉะนั้นไม่รอให้ทั้งคู่เอ่ยปาก อี๋อวี้ก็ส่งเสียงเรียก “พี่ชาย” ก่อนเอง หลูจื้อได้ยินแล้วหน้าบานทันใด แต่เขาเพียงขานรับนางด้วยน้ำเสียงเจือรอยเต็มตื้น หาได้ตะโกนเอะอะอย่างหลูจวิ้น
อี๋อวี้นึกในใจ สองพี่น้องคู่นี้ล้วนมีหน้าตาไม่เลวเลย หลูจวิ้นถอดเค้าหน้าคมเข้มชวนพิศจากหลูซื่อ ส่วนความหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของหลูจื้อนี้ไม่เหมือนมารดา เช่นนั้นคงประพิมพ์ประพายคล้ายบิดาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้อี๋อวี้ก็วางใจในสายเลือดของตนเองได้ รูปโฉมของบิดามารดาเข้าขั้นดีพอสมควรทั้งคู่ ไม่ว่าอย่างไรวันหน้านางคงเป็นสาวงามพริ้มเพราคนหนึ่งกระมัง
“ดูเจ้าชอบอกชอบใจใหญ่ วันทั้งวันทำตัวเป็นหนอนหนังสือ น้อยครั้งนักที่แม่จะเห็นเจ้าดีใจขนาดนี้” หลูซื่อกระเซ้าบุตรชายคนโตอย่างอารมณ์ดีเหลือหลาย ยังเอื้อมมือไปหยิกแก้มเขาทีหนึ่ง
หลูจื้อยังมีรอยยิ้มบางๆ บนหน้า ไม่มีท่าทางขัดเขินขุ่นเคืองให้เห็น อี๋อวี้เห็นแล้วคันไม้คันมือมาก อยากหยิกแก้มเขาบ้างใจจะขาด
ยามนี้ดวงอาทิตย์ข้างนอกลอยเคลื่อนสูงมากแล้ว ต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศมักอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว อี๋อวี้ยังสวมเสื้อคลุมสั้นเนื้อหนาจึงมีเหงื่อซึมเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ นางยกมือขึ้นดึงๆ เสื้อตัวบนซึ่งเย็บด้วยฝีเข็มละเอียดประณีต ในยุคนี้ยังไม่มีกระดุม อาภรณ์โดยมากเป็นแบบสาบเสื้อซ้ายขวาป้ายทับกันแล้วรัดสายคาดเอวง่ายๆ นี่น่าจะเป็นชุดที่สวมกันแต่ในชนบท ไม่ว่ายุคไหนสมัยใด สิ่งของชั้นดีจะปรากฏอยู่ในเมืองที่เฟื่องฟูและหมู่ชนชั้นสูงเสมอ ขณะที่ชาวนามีความเป็นอยู่เรียบง่ายที่สุดเป็นนิจ
หลูซื่อเห็นบุตรสาวเอามือดึงเสื้อก็รู้ว่านางร้อน จึงรีบช่วยคลายสายคาดเอวและขยับสาบเสื้อให้อ้าออกเล็กน้อยโดยไม่ถอดออก คงเพราะกลัวนางโดนความเย็น จากนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อมาซับเม็ดเหงื่อเล็กๆ บนปลายจมูกกับหน้าผากให้แล้วโบกลมอยู่ใกล้ๆ พอมีไอเย็นสบายลอยมาทำให้นางไม่รู้สึกร้อนอบอ้าวอีก
หลูจื้อซักถามเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบจากมารดา เดิมทีเขาไปเลี้ยงวัวอยู่ตรงเชิงเขา ขณะกำลังอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินจนลืมตัว หลูจวิ้นมาหาเขาด้วยความตื่นเต้น เพียงบอกอย่างคลุมเครือว่าสมองของน้องเล็กเป็นปกติแล้ว เขาก็ทิ้งวัวไว้กับน้องชายแล้ววิ่งกลับมาเองก่อน
จวบจนฟังคำบอกเล่าของหลูซื่อจบ หลูจื้อกลับมีท่าทีเป็นปกติ กล่าวด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “ดังว่าสวรรค์มอบหมายภารกิจยิ่งใหญ่แก่คนเช่นนี้แล ต้องบ่มเค้นให้จิตขื่นขม ตรากตรำให้เนื้อตัวอ่อนล้า น้องเล็กสติปัญญาไม่สมประกอบมานานหลายปี บัดนี้ถึงหายดี คงพ้นเคราะห์พบสุขแล้วเป็นแน่ ภายภาคหน้าฝนฟ้าเป็นใจ ชีวิตสงบราบรื่นตลอดไป”
อี๋อวี้เห็นเขาวางท่าคงแก่เรียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเกินกว่าวัย ก็แอบขบขันในใจอย่างห้ามไม่อยู่ หลูซื่อกลับพยักพเยิดเห็นด้วย นางลุกขึ้นไปตักน้ำในอ่างตรงมุมหนึ่งของห้องมาครึ่งกระบวย เอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเช็ดฝุ่นดินตามมือตามหน้าให้พี่น้องสองคน ถึงเดินพึมพำไปที่ห้องเล็กด้านข้างจุดเตาไฟทำอาหาร ตอนแรกผู้เป็นพี่ใหญ่คิดจะไปช่วยติดเตา แต่ถูกหลูซื่อห้ามไว้ บอกให้อยู่เป็นเพื่อนอี๋อวี้ เขาถึงละความตั้งใจ
ทั้งสองเห็นหลูซื่อเดินเข้าไปในส่วนที่กั้นขึ้นเป็นห้องครัวแล้วหันหน้ามาสบตากัน หลูจื้อมองน้องสาวที่ไม่มีท่าทางเลื่อนลอย ดูผิดแผกไปจากในกาลก่อน ดวงหน้าขาวอ่อนนุ่มไร้เดียงสาน่าเอ็นดูสุดจะกล่าว เขายื่นมือไปหยิกแก้มเล็กๆ ของนางอย่างอดใจไม่อยู่
อี๋อวี้ตัวแข็งทื่อไปในชั่วอึดใจที่ถูกหยิกแก้ม เมื่อครู่นางยังคิดจะหยอกเขา ไม่คิดว่าตอนนี้กลับเป็นฝ่ายถูกหยอกเสียเอง ครั้นนึกถึงฐานะของตนเองในยามนี้ขึ้นได้ นางก็ย่นจมูก บีบน้ำตาออกมาสองหยด
หลูจื้อรีบปล่อยมือเมื่อเห็นนางทำท่าเจ็บ หากปากยังกล่าวอย่างจริงจัง “ไม่รู้ว่าเหตุใดก็อยากหยิกแก้มเจ้า”
“เจ็บ” อี๋อวี้เปล่งเสียงพูดแสดงความไม่พึงใจ
หลูจื้อได้ยินนางร้องเจ็บคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ สายตาเขาหม่นวูบ เอ่ยปากเนิบๆ “เมื่อก่อนเจ้ามักไม่มีปฏิกิริยาอะไร ข้าแอบหยิกแก้มเจ้าบ่อยๆ หวังว่าวันหนึ่งเจ้าจะร้องเจ็บสักคำได้ก็คงดี” กล่าวจบเขาหันหลังให้ไม่ปริปากอีก
อี๋อวี้มิได้อยู่มายี่สิบปีอย่างเสียเปล่า รู้ว่าเขาคงขมขื่นใจจนอดอยากร่ำไห้ไม่ได้ถึงมีท่าทางอย่างนี้ ยิ่งพอคิดไปถึงเสียงพูดราบเรียบของเขา พาให้เจ็บแปลบๆ ตรงกลางอก เด็กคนนี้แสดงความรู้สึกในใจออกมาด้วยวิธีของตนเอง มีหรือที่คนความรู้สึกไวอย่างนางจะไม่เข้าใจถึงความผิดหวังทุกครั้งที่น้องสาวไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับและความสงสารที่มีต่อน้องสาวในอดีตของเขา
แต่ไรมาอี๋อวี้จะใจอ่อนกับคนที่ดีต่อตนเองมาก ส่งผลให้บังเกิดความรู้สึกเริ่มสนิทสนมกับพี่ชายคนนี้ นางเอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้อเขาพลางร้องเรียก “พี่ใหญ่” ร่างของหลูจื้อที่หันหลังให้นางชะงักนิ่ง
“อื้อ” เขากล่าวตอบเสียงเครือ จากนั้นทั้งคู่ก็นิ่งเงียบไม่เอื้อนเอ่ยคำใดอยู่เช่นนี้
จนกระทั่งหลูจวิ้นวิ่งเข้ามาจากข้างนอกถึงทำลายความเงียบภายในห้องลง
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ต.ค. 62)
Comments
comments
No tags for this post.