หลูซื่อบีบมือที่วางประสานกันบนกระโปรงทีหนึ่งพลางเอ่ยกล่าวเสียงขื่น “ไม่กลัวท่านอ๋องทรงหัวเราะเยาะ เหตุการณ์นั้นน่าตกใจขวัญเสียจริงๆ วันนั้นอวี้เอ๋อร์จับไข้ตลอดวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น พูดเพ้อไม่หยุดจนสลบไปในที่สุด ถ้าพาตัวนางมาที่นี่ช้าไปนิดเดียว ไม่แน่ว่าจะกระทบกระเทือนถึงสมองกลายเป็นคนปัญญาอ่อนอีกครั้งก็เป็นไป อ้อ…อาจไม่ทรงทราบว่าหลังลูกของหม่อมฉันคนนี้คลอดออกมาก็สติไม่สมประกอบจนอายุสี่ขวบ…”
เพราะอี๋อวี้ป่วยกะทันหัน หลี่ไท่รุดมาไม่ทันเวลาก็ขุ่นเคืองใจอยู่แล้ว พอได้ยินหลูซื่อพูดเช่นนี้ เขาทำหน้าขรึมเม้มปากมองประตูห้องที่ปิดสนิทนั่น กลับไม่ใคร่ใส่ใจคำพูดประโยคหลังของหลูซื่อ ด้วยรู้เรื่องที่นางปัญญาอ่อนตอนเด็กมานานแล้ว
หลูซื่อพูดยืดยาวเป็นชุดก่อนเหลือบตาขึ้นมองก็พบว่าหลี่ไท่ใจลอย นางหน้าเปลี่ยนสี ถอนใจเฮือกอย่างอัดอั้น “จะอย่างไรหม่อมฉันก็พูดจาอ้อมค้อมไม่เป็นสักเท่าไร เช่นนี้ก็ขอทูลท่านอ๋องตรงๆ เถอะ คราวนี้อวี้เอ๋อร์ป่วยจนกลายเป็นแบบนี้ พักฟื้นจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ทุเลา หม่อมฉันรู้แก่ใจดีว่าต้องเกี่ยวข้องกับพระองค์อย่างหนีไม่พ้น ส่วนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่นั้น หม่อมฉันจะไม่ซักถามอีก ทว่าหม่อมฉันเป็นมารดาคน มีบางถ้อยบางคำไม่ได้ระบายออกมาก็ไม่สบายใจ…”
นางหยุดเว้นจังหวะ นิ้วมือขยุ้มกระโปรงจนยับย่น ขอบตาเริ่มแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว
“ลูกของหม่อมฉันคนนี้อาภัพตั้งแต่เล็ก พระองค์ก็ทรงทราบเรื่องราวในครอบครัวหม่อมฉันอยู่แล้ว พี่ชายสองคนของนางนั่น ดีชั่วสมัยวัยเยาว์เคยสุขสบาย มีแต่นางคนเดียวยังอยู่ในท้องแม่ก็ต้องระเหเร่ร่อนหลบหนีตามหม่อมฉัน พอลืมตาดูโลกก็สติไม่สมประกอบสี่ปี เดชะบุญที่นางหายดี แต่เพราะเกิดมาไม่สมบูรณ์เลยตัวผอมๆ เล็กๆ ตลอด พวกหม่อมฉันอาศัยอยู่ในชนบท แม้ไม่เรียกให้นางทำไร่ไถนา แต่ตอนนางตัวสูงไม่ถึงเอวหม่อมฉันก็เริ่มจับเข็มกับด้ายฝึกเย็บปักถักร้อยกับหม่อมฉันเพื่อหาเงินจุนเจือครอบครัว ชะรอยสวรรค์เวทนา พอนางผ่านช่วงสติไม่สมประกอบไป กลับเฉลียวฉลาดกว่าเด็กทั่วไปอย่างมาก ซ้ำยังรู้ความและเอาใจใส่ผู้อื่น ไม่ว่าเป็นอาหารเสื้อผ้า แต่ไรมานางไม่เคยเอ่ยปากขอ ทุกคราที่หม่อมฉันให้เศษเงินเหลือๆ นางจะเก็บหอมรอมริบไว้ซื้อหนังสือให้พี่ใหญ่ของนางอ่าน ตอนเด็กนางฝึกคัดลายมือ จะกอบทรายมารวมกันแล้วใช้กิ่งไม้ขีดเขียน หรือไม่ก็เก็บกระดาษที่พี่ใหญ่นางใช้แล้ว ใช้พู่กันแตะน้ำเปล่าเขียนด้านหลัง ในปีที่ผลเก็บเกี่ยวดี หม่อมฉันซื้อกระดาษสาให้ นางต้องดีอกดีใจนานพักหนึ่ง เป็นเด็กรู้จักพอจนชวนให้ปวดใจ…หม่อมฉันรู้สึกเสมอว่าเด็กดีปานนี้ คง…คงลงมาเกิดผิดที่ ถึงต้องมาตกทุกข์ได้ยากไปกับหม่อมฉันด้วย…”
หลูซื่อยกมือปิดปาก น้ำตาไหลรินลงมาเป็นสาย นางเบือนหน้าไปอีกทางร้องไห้กระซิกๆ หลี่ไท่ได้ยินแล้ว รู้สึกหน่วงๆ ในอกเป็นระลอก มือที่ไพล่หลังอยู่กำเป็นหมัด ด้านหานลี่ซึ่งอยู่ไกลออกไปตรึกตรองความหมายในถ้อยคำของนางด้วยท่าทางครุ่นคิด นี่เป็นคราแรกที่เขาได้ยินหลูซื่อเล่าเรื่องตอนเด็กของลูกๆ
นางปาดน้ำตาออกลวกๆ ไม่สนใจว่าหน้าตาจะเปรอะเปื้อน ก่อนจะสูดลมหายใจและกล่าวต่อ “เรื่องในภายหลัง พระองค์ทรงทราบดีอยู่แล้ว ครอบครัวของหม่อมฉันลงหลักปักฐานในตำบลหลงเฉวียน เริ่มแรกอาศัยการค้าเล็กๆ เลี้ยงชีพ พี่รองของนางตามไปอยู่กับพี่ใหญ่ที่เล่าเรียนในสำนักศึกษาหลวง นางก็อยู่กับหม่อมฉันสองคน ตื่นแต่เช้ามืดทำผลเล็บแดงเชื่อมไปขายในเมืองหลวง ครั้นความเป็นอยู่ดีขึ้น สำนักศึกษาหลวงรับนางเข้าไปเป็นศิษย์ ต่อมาพวกหม่อมฉันแม่ลูกได้กลับเข้าสกุลหลู ชีวิตที่ทุกข์ทนลำบากใกล้จะผ่านพ้นไปสักที ใครจะคิดว่าสวรรค์จะกลั่นแกล้งนางซ้ำอีกหน เริ่มต้นจากหม่อมฉันถูกลักพาตัว ท่านปู่ของนางล้มป่วยจากไป จวิ้นเอ๋อร์หายสาบสูญ จื้อเอ๋อร์ยังต้องคดีจนจบชีวิตในที่สุดอีก…” เสียงของหลูซื่อสั่นเครืออย่างยากจะควบคุมตนเองได้