“ที่พูดเมื่อครู่นี้รู้เรื่องแล้วใช่ไหม”
อี๋อวี้ไม่รู้จะตอบเช่นไร นางกลัวว่าสิ่งที่นางเข้าใจ มิใช่ความหมายอย่างที่หลี่ไท่ต้องการบ่งบอก
“ข้ายังพูดไม่ชัดเจนพอหรือ” หลี่ไท่ไม่ได้ยินนางเปล่งเสียงพูด เขาลูบผมที่กระดกขึ้นตรงท้ายทอยของนางให้เรียบ พลางกล่าวเสียงเนิบ “ข้าไม่อาจเดาใจเจ้าออกได้เสมอ อย่าคิดเหลวไหลฟุ้งซ่าน ถ้าเจ้าไม่สบายใจก็บอกข้าตามสัตย์จริง”
ตรงกับคำกล่าวที่ว่าผงเข้าตา ถ้อยคำของหลูซื่อชี้ให้เห็นชัดว่าปัญหาระหว่างหลี่ไท่กับอี๋อวี้อยู่ตรงไหน คนหนึ่งเงียบขรึมไม่ช่างพูด คนหนึ่งคิดมากช่างระแวง หากไม่อาจเปิดอกต่อกันได้ ต่อให้วันหลังเขากับนางไม่กินแหนงแคลงใจกัน ก็ต้องมีปมค้างคาใจอย่างเลี่ยงได้ยาก หลี่ไท่มีนิสัยเย็นชา ไม่คำนึงถึงจิตใจผู้อื่นมากนัก แต่อี๋อวี้กลับเป็นคนเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทันทีที่ไม่ระวังก็จะตกในสภาพเช่นตอนนี้ ตรอมใจจนป่วยหนัก
เพียงแต่คำขอร้องให้เขาไปจากอี๋อวี้ของหลูซื่อในตอนท้าย หลี่ไท่กลับทำหูทวนลม ถึงอย่างไรถ้าอยากสางปัญหา มีหนทางถมเถไป วิธีเดียวที่เขาไม่เคยเอามาใคร่ครวญก็คืออย่างที่หลูซื่อบอก
หลี่ไท่ไม่เห็นนางแสดงปฏิกิริยาใดนานครู่ใหญ่ก็ไม่ร้อนใจ ก่อนเขาย่างเท้าผ่านประตูห้องนี้ก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าหนนี้ต้องทำให้นางเข้าใจให้จงได้ ถ้ายังฟังไม่รู้เรื่อง เขาไม่ถือสาที่จะพูดซ้ำอีกรอบ ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นช่องว่างระหว่างคนทั้งคู่แล้วแต่หาทางแก้ไขไม่ได้ บัดนี้พบทางออกแล้ว มีหรือจะรามือโดยง่าย
“หากยังไม่เข้าใจ ข้า…” เสียงของเขาชะงักไป เพราะสัมผัสถึงอาการสั่นเทาแผ่วเบาจากตัวหญิงสาว เบื้องหน้าสายตาชายหนุ่มเป็นท้ายทอยปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำ ไม่เห็นสีหน้าสีตา เขาเลยผละฝ่ามือจากหัวไหล่นางแล้วดึงเสื้อขึ้น ออกแรงอุ้มตัวนางพร้อมกับผ้าห่มมานั่งบนตัก ใช้มือหนึ่งประคองหลังไว้ ขณะจะถอยห่างเพื่อพิศดูสีหน้า นางกลับหดคอซุกหน้าลงกับซอกไหล่เขา
“อย่าขยับ…”
หลี่ไท่ไม่ขยับอีก ลมหายใจชื้นๆ ร้อนๆ บนคอและวงแขนนุ่มนิ่มที่โอบหลังอยู่ทำให้ทุกส่วนบนหน้าเขาอ่อนละมุนลง เขากระชับสองแขนตรงกลางหลังนางให้อ้อมกอดนี้แนบแน่นขึ้นแทนหญิงสาวที่ร่างกายไร้เรี่ยวแรง และพันธนาการร่างแบบบางไว้ในอ้อมอกอย่างแน่นหนา ถึงขั้นไม่นำพาว่าจะรัดนางเจ็บหรือไม่ การเผยความในใจด้วยวาจา บางทีอาจไม่มีวันที่เขาจะสอบผ่านชั่วชีวิต แต่เขาจะชดเชยให้ทางอื่นเป็นสองเท่า
มักมีคนผู้หนึ่งอย่างนี้เสมอ แวบแรกที่คิดจะไม่รู้สึกถึงความลึกซึ้ง ทว่าเมื่อได้พินิจอย่างละเอียดถ้วนถี่ จะเห็นความดีของนางอย่างไร้ที่สิ้นสุด และพอรู้ตัวอีกทีก็ขาดนางไม่ได้แล้ว
หลูซื่อยกชามใส่น้ำออกจากห้องครัว เห็นหานลี่ยืนอยู่หน้าประตูห้องปีกตะวันตก นึกว่าเขาลอบฟังผู้เยาว์สองคนในห้องคุยกัน นางจึงเดินไปถลึงตาใส่เขา ก่อนยกมือเคาะประตู
“อวี้เอ๋อร์ ตื่นหรือยัง”
ได้ยินเสียงเรียกจากนอกประตู อี๋อวี้ถึงเอาหน้าถูกับสาบเสื้อของหลี่ไท่เพื่อเช็ดน้ำตาแล้วกระตุกสายคาดเอวของเขา ไม่คิดว่าเขาไม่เพียงไม่คลายมือออก ยังส่งเสียงไปนอกประตูคำหนึ่ง
“ยังไม่ตื่น”
หลูซื่อชะงักมือที่จะเปิดประตู หันหน้าไปเห็นหานลี่ขยิบตาให้แล้วโคลงศีรษะอย่างอดยิ้มไม่ได้ นางจึงพูดกับคนในห้อง
“อย่างนั้นก็นอนต่ออีกครู่เถอะ”