ช่วงเวลาแห่งความหวานชื่นบนโลกนี้มีอยู่มากมาย คู่รักคืนดีกันก็เป็นหนึ่งในนั้น
อี๋อวี้ถูกหลี่ไท่กอดไว้เต็มอ้อมแขน ทั้งยังได้ยินเขาพูดให้ความกระจ่างอย่างนั้น นางก็รู้สึกว่าอาการป่วยกระเตื้องขึ้นเกินกว่าครึ่ง สดชื่นกระฉับกระเฉงอย่างที่ไม่ได้เป็นมาหลายวันนี้ ลมหายใจอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องหอมจากกายเขา แสนอบอุ่นเป็นสุขและใจสงบเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทั้งคู่ตระกองกอดกันไปนานเท่าใด จนกระทั่งหญิงสาวจามทีหนึ่ง เขาถึงเอาผ้าห่มห่อตัวนางแล้ววางนางลงบนเตียงตามเดิม
หลี่ไท่เพิ่งเหน็บชายผ้าห่มให้นางเสร็จ เห็นมือเล็กๆ ขาวเนียนข้างหนึ่งลอดออกมาจากมุมผ้า ควานเปะปะมากำชายเสื้อยับยุ่งของเขาไว้เบาๆ เห็นปลายท่อนแขนกลมกลึงโผล่ออกมา เขาไล่สายตาขึ้นไปมองสบดวงตาสุกใสคู่นั้น เทียบกับตอนที่ร้องไห้ฟูมฟาย นางแจ่มใสมีชีวิตชีวาขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด เขากอบกุมมือข้างนั้นสอดเข้าใต้ผ้าห่มด้วยกันแล้วไม่ดึงกลับอีก มันทำให้ดวงตาของนางที่มองเขาเป็นประกายมากขึ้น สองแก้มเริ่มมีสีสันกว่าก่อนหน้านี้
“วันนั้นฝนตกที่หอเทียนอ่าย เจ้าหนีกลับไปด้วยความโกรธเคืองเป็นเพราะเหตุอันใด” หลี่ไท่เป็นพวกนักลงมือทำอย่างแท้จริง พูดจบก็ซักไซ้หาต้นเหตุที่อี๋อวี้ป่วยทางใจคราวนี้โดยไม่รอช้า
อี๋อวี้ทำตาหลุกหลิกไปมา นางเพิ่งรับปากเขาเป็นมั่นเหมาะ แต่ครั้นจะเอ่ยปากจริงๆ ก็เห็นว่าพูดออกมาแล้วดูใจแคบ ขณะสองจิตสองใจอยู่ เขาบีบมือนางแรงๆ ทีหนึ่ง ไม่เจ็บทว่าเพียงพอจะกระตุ้นความกล้าของหญิงสาวขึ้นมาได้ นางคิดอีกทีแล้วจ้องเขาตาเขม็งพลางกล่าว
“นี่ก็ไม่มีอะไรพูดไม่ได้ วันนั้นข้าไปหาท่านที่หอเทียนอ่าย เห็นท่านกับคุณหนูจ่างซุนอยู่ในห้องกันตามลำพัง ท่านเป็นว่าที่สามีข้า ข้าเห็นหญิงอื่นเอาอาภรณ์ของท่านมาคลุมตัว แล้วท่านก็นั่งอยู่กับนางโดยไม่เกรงคำครหาเลย ตอนข้ากับนางสองคนล้มลง ท่านไปพยุงนางก่อนค่อยมาพยุงข้า ซ้ำตอนหลังยังแตะเนื้อต้องตัวนาง เป็นธรรมดาที่ในใจข้าจะทรมานอย่างยิ่ง ไม่อยากทนดูต่อก็เลยหลบออกมา”
ก่อนหน้านี้ตอนเฉิงเสี่ยวเฟิ่งไปหาหลี่ไท่ที่หอตำรา เขาคิดออกแล้วว่าเรื่องนี้ต้องมีสาเหตุจากจ่างซุนซี พอได้ยินจากปากนางอีก ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดเขานึกไปถึงวันนั้นนางผลักประตูเปิดแล้วเจอเขาในหอผิ่นหง ต่อมานางเมาสุรานั่งอยู่บนรถม้าด้วยท่าทางทุกข์ใจ ตอนนั้นเขามัวสำราญใจเพราะคำว่า ‘รัก’ ของนาง บัดนี้คิดไป ยามนั้นนางก็ฝืนข่มอารมณ์ไว้อยู่
เมื่อมองดูดวงตาของนางที่ฉายรอยขุ่นเคืองอย่างปิดไม่มิดในชั่วขณะนี้ ประกอบกับถ้อยคำที่เสิ่นเจี้ยนถังเคยกล่าวไว้ว่า ‘หึงหวงเพราะรัก’ นั่น ชายหนุ่มก็อารมณ์ดีอย่างปราศจากเหตุผล แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย ปกติเขาไม่ชมชอบพูดอธิบาย ครั้นตอนนี้ต้องบอกนางให้เข้าใจ เขาจึงหลุบดวงตาสีน้ำทะเลทั้งคู่ลงแล้วเริ่มตรึกตรอง
อี๋อวี้เห็นเขานิ่งเงียบไป นางเลิกหางคิ้วขึ้น แค่นเสียงฮึอย่างไม่พึงใจก่อนกล่าวว่า “คุณหนูจ่างซุนมีใจต่อท่าน ท่านไม่รู้จริงๆ หรือ ใช่ว่าข้าใช้ใจคนถ่อยวัดใจวิญญูชน นางอาศัยท่านท้าทายข้าหลายครั้งหลายหน วันนั้นที่หอเทียนอ่าย นางทำทีเล่นทีจริง จงใจแสดงว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับท่านให้ข้าดู ด้วยหมายจะสร้างความร้าวฉาน ขนาดข้ายังดูออก ท่านกลับหลงมารยาหญิงของนาง พลอยเล่นละครผสมโรงไปด้วย”
ทว่ากล่าววาจาจบ ตัวหญิงสาวเองก็ชักเฉลียวใจรางๆ สายตาที่มองหลี่ไท่ค่อยๆ เปลี่ยนไป อึดใจต่อมาถึงเอ่ยด้วยหน้าตาชอบกล “นี่…นี่ท่าน?”
“เจ้าคิดว่าสตรีที่ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่งมีข่าวลือกับบุรุษที่จวนจะแต่งงาน ผู้เสียเปรียบจะเป็นฝ่ายไหน”