เมื่อได้ยินหลี่ไท่จะรับอี๋อวี้กลับวังอ๋องไปพักฟื้นหลายวัน หลูซื่อต้องคัดค้านเป็นธรรมดา เหลือแค่สิบวันครึ่งเดือนก็จะถึงงานเสกสมรส จะปล่อยให้คนทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพังได้อย่างไร กระนั้นหลี่ไท่มีท่าทียืนกรานเป็นอันมาก อี๋อวี้ถูกขนาบอยู่ตรงกลางจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดีที่ได้หานลี่ช่วยเหลือ ใช้คารมโน้มน้าวใจหลูซื่อจนตอบตกลงให้อี๋อวี้ไปพำนักในวังอ๋องในช่วงเวลาสำคัญนี้ ถึงอย่างไรก่อนแต่งบุตรสาว ยังมีเรื่องอีกมากต้องให้หลูซื่อตัดสินใจ อี๋อวี้อยู่ที่สวนผูเจิน นางก็ไม่อาจแยกร่างคอยดูแลทั้งสองทางได้ไหว
หลี่ไท่พาอี๋อวี้ออกเดินทางไปก่อนแล้ว หลูซื่อกับหานลี่รออยู่ในลานเรือนจนถึงพลบค่ำก็ไม่เห็นเงาของเหยาปู้จื้อ จึงเขียนสารทิ้งไว้ฉบับหนึ่งพร้อมเงินตำลึงก้อนหนึ่ง จากนั้นนั่งรถม้าของหลี่ไท่กลับสู่ตำบลหลงเฉวียน
อี๋อวี้ถูกห่อตัวด้วยผ้าห่มชั้นหนึ่งนอนหนุนตักหลี่ไท่ นางจ้องสันปกหนังสือในมือเขาจนหลับไปอีก ตัวโคลงๆ เคลงๆ อยู่บนรถม้าที่แล่นออกจากป่าเขา ครั้นนอนนานไปก็เวียนศีรษะ นางบอกให้หลี่ไท่พยุงนางลุกขึ้น เลิกม่านหน้าต่างขึ้นตั้งใจจะทอดสายตามองไปไกลๆ กลับปะทะกับหัวม้าที่ยื่นมาใกล้อย่างไม่ทันตั้งตัว
“ว้าย!” นางร้องอุทานเสียงหนึ่งแล้วกระถดตัวซุกกลับเข้าอ้อมอกหลี่ไท่
ม้าตัวนั้นวิ่งตีคู่ไปกับรถม้าอยู่ดีๆ ได้ยินเสียงร้องของนาง ปลายใบหูสีดำอมเทาก็กระตุกริกๆ มันหันคอมามองนางแวบหนึ่ง อึดใจต่อมามันแสยะปากอวดฟันขาววาววับทั้งปากใส่นางอย่างขู่ขวัญเต็มที่ ทำเอาอี๋อวี้มองจนตาค้าง
“นี่คือฟานอวี่หรือเจ้าคะ” นางแหงนหน้าขอคำยืนยันจากหลี่ไท่ที่พลิกหน้าหนังสืออยู่ เห็นเขาส่งเสียงตอบในลำคอโดยไม่เงยหน้าขึ้น นางจึงไม่รบกวนการอ่านหนังสือของเขาอีก ยกปลายคางวางเกยไหล่บึกบึนของชายหนุ่มประจันหน้ากับอาชาตัวนั้นพอดี ก่อนจะเผยสีหน้าอ่อนโยนใจดีหมายแสดงไมตรีให้ ‘อีกฝ่าย’ เห็น แต่แล้วฟานอวี่กลับไม่รับน้ำใจ หันคอกลับแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจใคร
อี๋อวี้โดนม้าตัวหนึ่งหมางเมิน ซ้ำยังเป็นอาชาคู่กายหลี่ไท่ ในใจจึงรู้สึกไม่ยอมแพ้อยู่สักหน่อย นางเคยเห็นฝีเท้าของมันตอนแข่งตีคลี ย่อมบังเกิดความคิดอยากขี่มันสักหนไม่มากก็น้อย เลยลองเรียกชื่อมันคิดจะตีสนิทให้คุ้นหน้าคุ้นตากันก่อน ไหนเลยจะรู้ว่ามันไม่แยแสนางสักนิด ราวกับว่านางไม่ได้เรียกชื่อมันอยู่กระนั้น
ปฏิกิริยานี้กลับสร้างความคึกคักท้าทายให้อี๋อวี้ นางเรียกชื่อมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จวบจนหลี่ไท่เอื้อมมือกระตุกม่านลงปิด นางถึงหุบปากไม่กวนใจผู้อื่นต่ออีก
ทว่าหญิงสาวซบอกหลี่ไท่ได้ครู่เดียวก็อยู่ไม่สุขอีก แหงนหน้าเอ่ยขึ้น “เหตุใดมันไม่สนใจข้าเจ้าคะ”
รออยู่นานครึ่งเค่อยังไม่ได้ยินเสียงตอบของหลี่ไท่ อี๋อวี้นึกว่าเขาคร้านจะใส่ใจคำพูดไร้สาระของตน นางเริ่มคับข้องขุ่นใจ หาได้รู้ไม่ว่าหลี่ไท่ก็บอกนางไม่ถนัดปาก ปกติเจ้าม้าตัวนั้นก็เมินเฉยไม่ไยดีเขาเสมอ ถึงมิได้พูดตอบนาง
บรรยากาศในรถอึมครึมลง ได้ยินแต่เสียงพลิกแผ่นกระดาษไปมา ผ่านไปพักหนึ่งสุ้มเสียงทุ้มเนิบของหลี่ไท่จึงดังขึ้น “รอเจ้าหายดี ค่อยไปลานขี่ม้าลองดู”
ขืนอี๋อวี้ยังฟังความหมายของเขาไม่ออกก็เป็นคนโง่งมแล้ว ความคับข้องก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้น
“อื้อ” นางรับคำอย่างดีอกดีใจ จากนั้นหันเหไปครุ่นคิดหาตำรับยาบำรุงปราณ เพียงอยากหายสนิทไวๆ จะได้ลองขี่ม้าวิเศษตามคำเล่าขานนั่น
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 08 พ.ค. 63