prologue 1st
อารัมภบท ครั้งแรก
ใจเย็นไว้ก่อน
“เมื่อกี้คุณบอกว่าอะไรนะคะ”
“แต่งงานกันเถอะครับ”
ไม่ได้ฟังผิดไป แต่ก็ต้องใจเย็นไว้ก่อน
“ค่ะ คือว่า…”
คือว่า คือว่า
“คะ? คุณพูดว่าอะไรนะคะ”
“ผมบอกว่าเราแต่งงานกันเถอะครับ”
“คะ? แต่ง แต่ง…”
เอื๊อก ฮารีกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ
“คือว่า…คุณพูดว่าอะไรนะคะ”
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ มือฮารีที่กำลังถือโทรศัพท์เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“นี่ผม…ต้องพูด…อีกกี่ครั้งกันครับ”
เขาถามออกมาช้าๆ โดยแบ่งวรรคประโยคสามครั้ง ราวกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่างเอาไว้อย่างถึงที่สุด
“อ้าว ก็มันเป็นเรื่องน่าตกใจมากเลยนี่คะ เรื่องแต่งงานนั่นน่ะ ฮ่าๆ”
เธอพยายามหัวเราะออกมาอย่างเป็นกันเองเพื่อทำให้บรรยากาศคลี่คลาย ทว่าปลายสายกลับมีเพียงความเงียบงันเท่านั้น แต่กลับรู้สึกเหมือนเขากำลังจ้องมองและสั่งว่าอย่าหัวเราะ เธอจำต้องหยุดหัวเราะและพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ฉันตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกขอแต่งงานทางโทรศัพท์น่ะค่ะ ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ควรจะคุยกันทางโทรศัพท์แบบนี้ มันเป็นการขอแต่งงานนะคะ เพราะฉะนั้น ฉัน…”
“งั้นเรามาเจอกันแล้วค่อยคุยกันนะครับ”
“ค่ะ แบบนั้นก็ดี…คะ? เจอกันเหรอคะ ไม่ค่ะ ไม่! ไม่เป็นไรค่ะ ฉันคิดว่าคุยทางโทรศัพท์ได้สบายมากเลย ฉันขอปฏิเสธคำขอแต่งงานนั้นนะคะ เพราะฉันไม่คิดจะแต่งงานค่ะ”
ขณะกำลังเม้มริมฝีปากพร้อมกับคิดว่าตัวเองพูดแรงไปหรือเปล่า ก็ได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นมา ดูเหมือนว่าในเสียงนั้นไม่มีความวุ่นวายใจจากการถูกปฏิเสธแทรกอยู่เลย
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงมานัดบอดล่ะครับ”
“คะ? เอ่อ เรื่องนั้น…”
จะเล่าสถานการณ์อันซับซ้อนทั้งหมดให้ฟังได้อย่างไรกัน ฮารีอยากใช้นิ้วจิ้มตาทั้งสองข้างของยองซอเพื่อนรักที่ส่งสายตาวิงวอนมาให้ในตอนนั้นเหลือเกิน
“แค่ไปเฉยๆ น่ะค่ะ”
“ไป…เฉยๆ?”
ในถ้อยคำนั้นมีน้ำเสียงที่บอกว่า ‘นี่คุณกำลังล้อผมเล่นเหรอ’ ซ่อนอยู่ จะว่าไปดูเหมือนตอนนี้เธอพังเละเทะยิ่งกว่าวันนั้นที่ไปนัดบอดเสียอีก แค่คิดถึงสภาพในวันนั้นก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเหมือน ‘ยายบ้า’ เลย แต่ตอนนี้มันน่าอายยิ่งกว่า ถ้าถอยตอนนี้ล่ะก็ คงต้องเจอเรื่องยุ่งแน่ๆ เธอจึงหลับตาลงแน่น
“ก็…ก็คิดอย่างนั้นกันได้นี่คะ การไปนัดบอดไม่ได้หมายความว่าอยากแต่งงานเสมอไป…”
เมื่อคิดว่าข้อแก้ตัวฟังดูงี่เง่าเกินไป เธอจึงพูดเสียงแผ่วลงในช่วงท้ายและปิดปากสนิท เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง แต่ดูเหมือนหูของเธอกำลังได้ยินเสียงของเขาพูดขึ้นว่าถ้าไม่ได้ไปนัดบอดเพราะอยากแต่งงาน แล้วจะไปทำไมล่ะ ยายซื่อบื้อ
ฮารีรู้สึกทรมานใจ จึงเอ่ยปากพูดอีกครั้ง
“เอ่อ ทำไมคุณถึงอยากแต่งงานกับฉัน…คุณไม่ได้ตกหลุมรักฉันตั้งแต่แรกพบไม่ใช่เหรอคะ…ทั้งที่…ทั้งที่ฉันเอาแต่พูดพล่าม…”
พูดจาเหลวไหลเพ้อเจ้อถึงขนาดนั้น ส่วนคุณก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เอาแต่นั่งมองราวกับเบื่อหน่ายอย่างนั้น แล้วทำไม!
“แล้วถ้าผมตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบล่ะ”
อะไรนะคะ มันจะเป็นไปได้ยังไง! แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันก็รู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะ!
ฮารีหน้าแดงขึ้นมา แต่เมื่อเห็นสภาพความเป็นจริงของตัวเองในกระจกที่สวมกางเกงโคแจงงี* ของแม่อยู่ เธอก็รีบส่ายหน้าทันที
“ยะ…อย่าพูดเล่นแบบนั้นสิคะ”
“มาเจอกันแล้วค่อยคุยกันดีกว่าครับ วันนี้หนึ่งทุ่มเจอกันที่ที่เรานัดเจอกันเมื่อวาน…”
“ไม่ค่ะ ไม่! ฉันคงไปเจอคุณวันนี้ไม่ได้หรอกค่ะ”
“ถ้าเป็นวันธรรมดาผมไม่สะดวก งั้นเป็นช่วงสุดสัปดาห์…”
“ไม่ค่ะ คุณคงจะงานยุ่งน่าดู ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอกค่ะ ฉันจะไม่แต่งงานค่ะ! ฉันแต่งไม่ได้! ที่จริงแล้วฉันชอบผู้หญิงค่ะ ฉันเกลียดผู้ชายที่สุด พูดจริงนะคะ ฉันรักผู้หญิงค่ะ งั้นแค่นี้นะคะ!”
ฮารีวางสายอย่างไร้ความปรานี
ไม่ชอบผู้ชายเนี่ยนะ เธอบ้าไปแล้วเหรอ เธอออกจะบ้าผู้ชายขนาดนั้น
“แถมในวันนัดบอดยังพูดปาวๆ ว่าเป็นเสือผู้ชายอีก”
เมื่อนึกถึงคำพูดที่ตัวเองพูดในตอนนั้น เธอก็อยากเตะผ้าห่มแล้วลุกพรวดขึ้นมาทั้งที่ยังนอนอยู่เลยทีเดียว
“เฮ้อ เขาต้องคิดว่าฉันบ้าจริงๆ แน่เลย ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย ไม่สิ ยังไงมันก็ไม่สำคัญอยู่แล้ว เพราะคุณคนนี้เขาก็ดูไม่ปกติเหมือนกัน!”
นัดบอดไม่ถึงชั่วโมง แล้วนี่ก็เพิ่งผ่านมาแค่วันเดียว แต่กลับมาบอกว่าตกหลุมรักและอยากแต่งงานด้วยเนี่ยนะ
นี่มันจิตป่วยสุดติ่งชัดๆ! แต่งงาน แต่งงานเนี่ยนะ
จู่ๆ ฮารีก็ลูบไล้จัดผมเผ้าให้เรียบร้อย ทั้งที่สวมกางเกงโคแจงงีอยู่แท้ๆ แต่เธอก็หมุนตัวดูตัวเองในกระจกทางโน้นทีทางนี้ทีพลางยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจอยู่ครู่หนึ่ง
“เฮ้อ คังแทมู นายช่างตาถึงซะจริงเชียว”
ฮารีที่เคยยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจกลับกำผมของตัวเองเอาไว้แน่นราวกับเพิ่งเข้าใจความเป็นจริง เธอหอบออกมาและตะโกนเหมือนตัวเองถึงขีดจำกัดแล้ว
“กรี๊ด! ฉันจะทำไงดีล่ะเนี่ย”
ฉันไปนัดบอดกับประธานบริษัทของตัวเองได้ยังไง!
* โคแจงงี คือกางเกงตัวในของกระโปรงฮันบก หรือกางเกงรัดข้อเท้า