chapter 02
หญิงสาวแห่งพรหมลิขิต
แม้เรื่องที่ยกมาเปรียบเทียบนี้อาจจะฟังดูอย่างไรอยู่ แต่เวลาเดินเข้าห้องน้ำกับเวลาเดินออกจากห้องน้ำมันต่างกันมาก สถานการณ์ตอนเลิกงานในวันศุกร์กับตอนไปทำงานอีกครั้งในวันจันทร์ มันก็เป็นอะไรที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน
นั่นเป็นเพราะคู่นัดบอดโรคจิตที่ฮารีรับทำเป็นงานพาร์ตไทม์มาขอเธอแต่งงานทั้งที่เพิ่งนัดบอดกันไปได้แค่วันเดียว แถมยังขอแต่งงานทางโทรศัพท์อีกต่างหาก แต่ปัญหาก็คือ
เขาเป็นประธานบริษัทของฉันน่ะสิ!
แค่นี้ก็ทุกข์ใจมากพออยู่แล้ว ทุกครั้งที่นึกถึงมัน ฮารีก็ยิ่งรู้สึกเป็นทุกข์มากจนต้องกุมศีรษะเอาไว้แน่น ขนาดนอนอยู่ยังรู้สึกเหมือนกุมศีรษะอยู่เลย ไม่สิ เหมือนจะไม่ได้นอนเลยมากกว่า ที่จริงแล้วเธอรู้สึกเหมือนจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด
หลังวางสายจากเขา ฮารีไม่รู้เลยว่าวันนั้นทั้งวันตัวเองทำอะไรไปบ้าง เธอควรจะเล่าเรื่องราวชวนอึ้งนี้ให้ยองซอฟัง แต่แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ยังไม่เข้าใจ จึงได้แต่ผัดไปก่อน และตอนนี้เธอมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
คังแทมูต้องเป็นคนจิตวิปริตแน่นอน
ขนาดเธอพูดเพ้อเจ้อและพูดเรื่องไร้สาระขนาดนั้น เขายังมาขอแต่งงานเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ได้ข้อสรุปเดียวว่าคังแทมูเป็นคนจิตวิปริต
เมื่อสรุปได้อย่างนั้น สิ่งที่เธอกังวลจึงมีอยู่เรื่องเดียวคือถ้าเจอกันที่บริษัทจะทำอย่างไร
โดดงานดีไหมนะ โดดงานไปเลย โดดงานของบริษัทหมอนี่ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยดีไหม
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่เธอจะจัดการได้ เพราะเธอนัดบอดกับประธานบริษัทและพูดเรื่องไร้สาระอย่างเต็มที่ แต่หลังจากนั้นแค่วันเดียวก็ถูกขอแต่งงานอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วเธอก็ยังปฏิเสธด้วยคำพูดเพ้อเจ้ออีกต่างหาก
เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ผ่านไป ขณะที่ฮารีกำลังเตรียมตัวไปทำงาน เสียงเหล่านี้ดังก้องอยู่ในใจไม่หยุด โดดไหม โดดไหม โดดไหม เธอต้องคอยยับยั้งหัวใจที่กำลังเดินเป็นจังหวะติ๊กต่อกราวกับเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดเธอก็เตรียมตัวไปทำงานเสร็จจนได้
นี่เป็นการเตรียมตัวที่ทำมาตลอดเป็นปกติ แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปมันจะแตกต่างไปจากเดิม ฮารีแต่งหน้าให้บางที่สุด เธอต้องพยายามไม่ให้ตัวเองไปเตะสายตาของคังแทมูประธานบริษัทที่ไม่รู้ว่าจะพบเจอกันที่ไหนเมื่อไร แต่ความจริงแล้วยังไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง เมื่อคิดถึงเรื่องเหลวไหลที่ตัวเองพูดกับเขา เธอก็ได้แต่คิดว่าอยากจะหนีไปให้พ้นๆ อย่างไรก็ตามเธอไม่สามารถลาออกจากบริษัทได้อย่างเด็ดขาด
เธอมีหนี้สิน ไม่ว่าใครก็มีหนี้สินกันได้ แต่หนี้ก้อนนี้แตกต่างไปเล็กน้อย เนื่องจากมันเป็นเงินกู้ของบริษัท จึงต้องชำระคืนทั้งหมดทันทีที่ลาออก ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่มีเงินที่จะทำแบบนั้นได้ จึงต้องไปทำงานไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องคอยยับยั้งหัวใจของตัวเองที่มีเสียงดังขึ้นมาว่า ‘โดดไหม’ อยู่ทุกวินาที
“ใช่แล้ว ยังไงก็ไม่เจอกันหรอก นี่คือเรื่องจริง”
ตั้งแต่เข้าทำงานที่บริษัท เธอเคยเห็นเขาครั้งหนึ่งขณะที่เดินอยู่กับพนักงานคนอื่นๆ แต่ก็ยังไม่เคยเจอกันแบบซึ่งหน้าเลยสักครั้ง อันที่จริงก็ไม่มีเหตุให้เจอกันเลยด้วยซ้ำ เพราะห้องประธานอยู่ที่ชั้นสิบสอง ส่วนแผนกวางแผนและการเงินทีมสองซึ่งเป็นแผนกของเธออยู่ที่ชั้นแปด และปกติเขามักจะไปไหนมาไหนพร้อมพวกผู้บริหารบริษัท เรื่องอัตราความถี่…เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เธอมักจะไปไหนมาไหนกับพนักงานคนอื่นๆ เฉพาะแค่ช่วงพักกลางวันเท่านั้น
“เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอก ไม่ต้องกังวลเลย ผู้ชายที่ตั้งแต่เธอเข้าทำงานมาเป็นปีๆ ก็ยังไม่เคยเจอกันสักครั้ง ไม่มีทางที่จะมาเจอกันตรงนี้…”
จะ…เจอ กัน ตรง นี้…!
ดวงตาของฮารีพลันเบิกกว้าง
“ทำอะไรครับ”
ตั้งแต่ตอนอยู่บนรถเมล์ ไม่สิ ตั้งแต่ก่อนขึ้นรถเมล์ ไม่สิ ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นจนกระทั่งลงจากรถเมล์แล้วเดินมาถึงหน้าบริษัท เธอคิดมาตลอดว่าไม่มีทางเจอเขาแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล เธอปลอบใจตัวเองแบบนั้น ทว่า…
คังแทมูกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ซึ่งมันไม่ใช่ที่ประตูหน้า ไม่ใช่ล็อบบี้ ไม่ใช่โถงทางเดิน แต่ดันมาเจอกันตรงหน้าลิฟต์ หัวใจของเธอตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้วเริ่มเต้นอย่างบ้าคลั่ง
ไม่เคยเจอกันสักครั้ง แล้วทำไมถึงดันมาเจอกันหลังจากวันที่ถูกขอแต่งงานได้ล่ะเนี่ย หรือท่านประธานจำฉันได้ก็เลยตามฉันมา เขาเป็นถึงประธานบริษัทก็อาจสืบประวัติผู้หญิงเฮงซวยที่ปฏิเสธเขาหรือเปล่านะ แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะ ถ้าถูกไล่ออกเพราะโกหกจะทำยังไง
ขณะที่ใบหน้าของฮารีกำลังซีดเผือดและหายใจลำบากขึ้นเรื่อยๆ แทมูก็มองเธออย่างแปลกใจแล้วเลิกคิ้ว
“ไม่ทราบว่า…”
ไม่ทราบว่า ไม่ทราบว่าอะไร จำฉันได้เหรอ อะไรเนี่ย ที่ผ่านมาไม่รู้จักหน้าตาฉัน แต่พอเห็นหน้าก็เลยจำฉันได้งั้นเหรอ แล้วทีนี้ฉันต้องทำยังไงต่อไปล่ะ ฉันจะโดนไล่ออกจริงๆ เหรอ
“ไม่ขึ้นเหรอครับ”
“…คะ?”
คิ้วของเขาจะกระตุกเล็กน้อย ตอนนี้เธอกำลังทำให้ฉันต้องพูดสองครั้งนะ ดูเหมือนคิ้วของเขากำลังพูดแบบนั้น ไม่สิ เขาพูดออกมาแล้ว และกำลังจ้องมองเธอด้วยสายตาไม่พอใจอย่างมาก
“คุณจะไม่ขึ้นลิฟต์เหรอครับ”
“ขะ…ขึ้นค่ะ”
ฮารีรีบขึ้นลิฟต์อย่างลนลาน
ยายซื่อบื้อเอ๊ย ต้องบอกว่าไม่ขึ้นสิ