แม้ยามนี้ในใจนางจะกำหนดเป้าหมายชัดเจนแล้ว แต่อย่างไรก็เพิ่งมาถึงยังสถานที่แห่งใหม่ พูดไปแล้วที่นี่ก็มิต่างจากสถานที่ลี้ลับ ถ้าบอกว่านางไม่กังวลเลยย่อมเป็นการโกหกอย่างแน่นอน
นางเดินช้าๆ ไปตามทางเดินยาวรอบสวนดอกไม้ ดวงตากวาดมองไปรอบด้าน
สมแล้วที่เป็นสถานที่สำหรับดื่มด่ำทิวทัศน์ของหมู่มวลบุปผชาตินานาพรรณ ต่อให้ในยามนี้จะเป็นฤดูหนาวที่สรรพสิ่งราวกับไร้ชีวิตชีวา ทว่าภายในสวนดอกไม้แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยสีสันมากมาย
ที่นี่มีต้นไม้ที่เขียวขจีตลอดทั้งสี่ฤดูอย่างต้นการบูรและต้นกุ้ย ต้นหนี่ว์เจิน ที่ให้ผลสีอย่างหินปะการังแดงขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ดอกล่าเหมย สีเหลืองที่ยืนหยัดอยู่ตรงมุมกำแพงริมน้ำ มีหิมะบางๆ ชั้นหนึ่งอยู่บนพื้น มองดูแล้วทำให้จิตใจสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง
หลี่หลิงหว่านยกเท้าก้าวลงจากระเบียงทางเดินไป
ในอากาศยังมีเกล็ดหิมะเกล็ดเล็กๆ โปรยปรายลงมา เสี่ยวซานกางร่มผ้าไหมเคลือบน้ำมันสีเขียวออกบังหิมะบนศีรษะหลี่หลิงหว่าน แต่นางกลับเห็นว่ายุ่งยาก บอกให้เสี่ยวซานกางบังหิมะบนศีรษะตนเองไปคนเดียวก็พอ ส่วนนางกลับยกหมวกคลุมศีรษะของเสื้อคลุมขึ้นสวมแล้วเดินต่อไปในสวนดอกไม้ เท้าของนางสวมรองเท้าที่ทำมาจากหนังแพะจึงไม่กลัวความชื้นจากกองหิมะบนพื้น เพียงมุ่งหน้าเดินไปยังสวนดอกไม้ในมุมที่อยู่ลึกเข้าไป
เสี่ยวซานรีบร้อนติดตามมาด้านหลัง
เดิมทีเจ้าของร่างเดิมหลี่หลิงหว่านในนิยายก็เป็นเพียงตัวประกอบหญิงเท่านั้น ทั้งยังเป็นแค่ตัวประกอบหญิงในนิยายช่วงครึ่งแรก จำนวนครั้งในการปรากฏตัวนับได้ว่าไม่มาก เกี่ยวกับสาวใช้ข้างกายนางนั้น หลี่หลิงหว่านย่อมไม่เสียเวลาไปอธิบายอะไรมากมาย เสี่ยวซานเองก็มีกล่าวถึงแค่น้อยนิดเพียงไม่กี่คำว่ามีสาวใช้คนนี้ปรากฏตัวอยู่เท่านั้น แท้จริงแล้วอีกฝ่ายมีนิสัยเช่นไร เป็นคนแบบไหนนั้นกลับไม่เคยเขียนถึงมาก่อนแม้แต่ประโยคเดียว
แต่คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวซานจะเป็นคนจงรักภักดีต่อเจ้านายขนาดนี้
เห็นหลี่หลิงหว่านยังคงมุ่งหน้าเดินตรงไป นางก็ไม่สนใจความลำบากในการย่ำเดิน รีบก้าวเท้าอย่างทุลักทุเลบนกองหิมะมาขวางที่ด้านหน้าหลี่หลิงหว่านพร้อมรีบร้อนเอ่ย “คุณหนู ท่านเดินไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“ทำไมข้าจะไปไม่ได้” หลี่หลิงหว่านหยุดฝีเท้าแล้วมองไปที่นาง “ข้างหน้านั่นเป็นสถานที่อะไรกัน กระทั่งข้ายังไปไม่ได้เชียวรึ!”
“ข้างหน้า…ข้างหน้า…” เสี่ยวซานพยายามเค้นคำพูดจนใบหน้าแดงก่ำ กระทั่งตะกุกตะกักออกมาแล้วนางถึงค่อยรวบรวมความกล้าพูดมันออกมาได้ “หากยังไปต่อ ข้างหน้าก็จะเป็นสถานที่ต้องห้ามแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าเคยพูดแต่แรกแล้วว่าคนในจวนทุกคนไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในนั้น หากฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องขึ้นมาเมื่อใด คนผู้นั้นจะถูกโบยและถูกไล่ออกจากจวนเจ้าค่ะ”
หลี่หลิงหว่านเข้าใจเรื่องราวในทันที
เห็นทีข้างหน้านั่นคงเป็นสถานที่ที่ใช้กักบริเวณตู้ซื่อเป็นแน่ เดิมทีนางก็อยากจะไปดูที่นั่นแต่แรกอยู่แล้ว นางจึงเอ่ยกับเสี่ยวซาน “ไม่เป็นไร ข้าเป็นหลานสาวคนโตของท่านย่า เจ้าคิดว่าท่านย่าจะกล้าโบยหรือไล่ข้าออกจากจวนจริงๆ หรือ เจ้าหลีกไปเถอะ ข้าอยากจะเดินไปดูสักหน่อย”
ทว่าเสี่ยวซานกลับไม่ยอมหลีกทางให้ ไม่ว่าหลี่หลิงหว่านจะพูดหรือทำหน้าถมึงทึงใส่อย่างไรนางก็ยังไม่หลีก เพียงพูดซ้ำไปมาว่า “คุณหนู ท่านไปที่นั่นไม่ได้เจ้าค่ะ”
หลี่หลิงหว่านคาดไม่ถึงว่าเสี่ยวซานจะหัวรั้นถึงเพียงนี้ ชั่วขณะนั้นจึงคิดหาหนทางไม่ออก ทำได้เพียงกุมขมับอย่างจนปัญญา
ยื้อกันไปมาเช่นนี้สักพักหนึ่ง หลี่หลิงหว่านก็เห็นคนเดินออกมาจากสถานที่ที่เสี่ยวซานบอกว่าเป็นสถานที่ต้องห้ามแห่งนั้น
ท่ามกลางอากาศที่มีหิมะโปรยปรายลงมา กระทั่งชายคายังมีน้ำแข็งห้อยย้อย บนพื้นก็ปรากฏแผ่นน้ำแข็ง ทว่าบนร่างกายคนผู้นั้นกลับสวมเพียงชุดจื๋อตัว บางๆ ชุดหนึ่งที่ซักจนสีน้ำเงินกลายเป็นสีขาวไปแล้ว ที่เท้าก็สวมเพียงรองเท้าผ้าเก่าขาดคู่หนึ่ง ตัวรองเท้าเองยังชื้นไปด้วยน้ำจากหิมะจนทั่ว ยามที่เดินจะทิ้งรอยน้ำขนาดใหญ่เอาไว้
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้คนผู้นั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะหนาวแข็งจนตัวหดงอเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับยืดแผ่นหลังอันผอมโซได้อย่างมั่นคงราวกับต้นไผ่กลางพายุหิมะที่ไม่มีวันยอมก้มศีรษะให้กับผู้ใด
ภายในสวนดอกไม้แห่งนี้ จู่ๆ ก็ปรากฏเด็กหนุ่มอายุราวสิบสองสิบสามเช่นนี้ขึ้นกะทันหัน ทั้งยังสวมอาภรณ์เก่าขาด มีกลิ่นอายแข็งกร้าวแผ่ออกมา และเดินมาจากทิศของเรือนที่ใช้กักบริเวณตู้ซื่อพอดี หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าตนเองสามารถคาดเดาถึงตัวตนของคนผู้นี้ได้
นี่จะต้องเป็นหลี่เหวยหยวนอย่างไม่ต้องสงสัย
นางเองก็จินตนาการถึงสถานการณ์ตอนที่ได้พบกับหลี่เหวยหยวนครั้งแรกอยู่หลายแบบ แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกันในตอนนี้ ช่วงเวลาที่นางไม่ทันได้เตรียมตัวมาก่อน มารดาเถอะ ข้ายังไม่ได้เตรียมใจรับมือกับเขาเลยสักนิด แล้วทีนี้ควรจะทำอย่างไรดีเล่า
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 มิ.ย. 62