X
    Categories: ทดลองอ่านนิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน!มากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่สาม

 ตอนที่ออกมาจากเรือนยังเป็นแค่เกล็ดหิมะโปรยปรายเบาบาง ยามกลับมากลับกลายเป็นหิมะตกหนักไปเสียได้ สายลมพัดกระทบใบไผ่เกิดเป็นเสียงดังแซ่กๆ ทว่าสภาพจิตใจของหลี่หลิงหว่านกลับไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

นางชนะศึกแรกแล้ว ไม่เพียงได้เจอกับหลี่เหวยหยวนอย่างราบรื่นเท่านั้น นางยังได้แสดงละครต่อหน้าเขาไปแล้วด้วยหนหนึ่ง ต่อให้ในใจเขาไม่ลดความเกลียดชังที่มีต่อนาง แต่อย่างน้อยนางก็ประสบความสำเร็จในการยื่นช่อมะกอกซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพไปให้แล้ว

เมื่อในใจมีความสุข ไม่ว่าหิมะจากบนฟ้าจะตกหนักเพียงใดนางก็ยังรู้สึกว่าเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม สายลมหนาวพัดมากระทบใบหน้าก็ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด หลี่หลิงหว่านเดินกลับไปยังเรือนของตนเอง

เป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมไม่สนิทกับโจวซื่อ หลี่หลิงหว่านคนเก่าจึงเคยอาละวาดต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าว่าไม่อยากอยู่กับโจวซื่อ ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ดูถูกโจวซื่ออยู่แล้ว และอย่างไรหลี่หลิงหว่านก็เป็นถึงหลานสาวคนโตของสกุลหลี่ ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้ยอมตามใจนาง มอบเรือนเล็กๆ แยกออกมาให้

รอจนหลี่หลิงหว่านกลับมาถึงหน้าประตูเรือนตนเอง เงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นว่าบนบานประตูเรือนแขวนป้ายชื่อเอาไว้ บนพื้นเขียวเขียนด้วยตัวอักษรทองสามตัวว่า ‘เรือนอี๋เหอ’

อืม ตอนแรกที่คิดชื่อให้เรือนแห่งนี้หลี่หลิงหว่านเพียงเลือกอย่างสุ่มๆ เพราะอีกฝ่ายเป็นแค่ตัวประกอบหญิงที่มีเพื่อยกระดับให้นางเอก เสริมความดีงามของนางเอกให้โดดเด่นขึ้นเท่านั้น ใครจะเปลืองแรงมาคิดชื่ออันไพเราะให้กับที่อยู่อาศัยของนางกัน

ยามนี้ประตูเรือนสีดำขลับเบื้องหน้าปิดสนิท เสี่ยวซานเดินขึ้นหน้าไปส่งเสียงเรียก มีสาวใช้มาเปิดประตูให้ หลี่หลิงหว่านจึงยกเท้าก้าวเข้าไป

แม้จะเป็นเพียงเรือนเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่กลับตกแต่งได้อย่างประณีตยิ่งนัก ทั้งภายในยังปลูกต้นไม้ดอกไม้นานาพรรณ มั่นใจได้ว่าตลอดทั้งสี่ฤดูล้วนมีต้นไม้ดอกไม้ให้คอยชื่นชมแน่นอน

ที่มุมหนึ่งในลานเรือนมีต้นเหมยแดงต้นหนึ่ง ยามที่บนกลีบดอกเหมยมีหิมะเกาะอยู่ก็ยิ่งทำให้เห็นความแวววาวของกลีบดอกสีแดงมากขึ้น สองข้างของทางเดินหินปลูกต้นกุ้ยไว้สองต้น ยามที่ดอกกุ้ยบานในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ทั้งเรือนคงจะมีกลิ่นหอมตลบอบอวลเป็นแน่ ที่ใต้หน้าต่างเรือนวางอ่างลายครามเอาไว้ มีไว้สำหรับปลูกดอกบัวในฤดูร้อน ทว่ายามนี้ในอ่างมีเพียงน้ำใสสะอาดที่มองเห็นถึงก้นอ่างได้ เดินอ้อมจากด้านหน้าเรือนมาด้านหลังแล้วก็ยังมีต้นสาลี่กับต้นท้อต้นใหญ่ ในฤดูใบไม้ผลิหากได้เอนหลังพิงหน้าต่างมองออกไปข้างนอกแล้วเห็นดอกไม้สีขาวปนชมพูล่ะก็ คงนับเป็นสิ่งที่งดงามอย่างหนึ่งเลยทีเดียว

หลี่หลิงหว่านทอดถอนใจว่าช่างฟุ่มเฟือยยิ่งนัก คิดไปถึงในชาติก่อนที่นางทำได้เพียงเช่าห้องเก่าๆ อยู่ห้องหนึ่ง ไม่ว่าห้องนั้นจะเก่ามากเพียงใด ในทุกๆ เดือนนางก็ยังต้องจ่ายค่าเช่าถึงสามพันหยวน ทว่ายามนี้เรือนที่อยู่เบื้องหน้าได้กลายเป็นของนางไปแล้ว ฮ่าๆ ช่างมีความสุขจริงๆ

นางเดินไปตามทางเดินหินด้วยความรู้สึกสาแก่ใจ

เสี่ยวซานเก็บร่มเรียบร้อยแล้วก็รีบร้อนเดินขึ้นหน้ามาเลิกม่านสีแดงให้ หลี่หลิงหว่านก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วก้าวเข้าไป

เบื้องหน้ามีไอความร้อนคละเคล้ากับกลิ่นดอกไป่เหอ ลอยมาปะทะ สิ่งนี้ทำให้หลี่หลิงหว่านที่เพิ่งกลับมาจากสถานที่อันหนาวยะเยือกต้องขนลุกไปทั้งร่างอย่างไม่รู้ตัว นางรู้สึกราวกับรูขุมขนตลอดร่างเปิดออกอย่างผ่อนคลายอย่างไรอย่างนั้น

แม้สาวใช้กับบ่าวหญิงอาวุโสภายในเรือนอี๋เหอจะมีมากถึงเจ็ดแปดคน แต่ส่วนใหญ่ล้วนรับผิดชอบแค่เก็บกวาดลานเรือนอยู่ด้านนอก คนที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดหลี่หลิงหว่านจริงๆ มีเพียงสาวใช้รุ่นใหญ่อย่างฮว่าผิง กับสาวใช้อีกสองคนอย่างเสี่ยวซานและเสี่ยวอวี้

ยามนี้เสี่ยวอวี้กำลังเปิดฝาครอบของกระถางไฟทองแดงสามขาขนาดใหญ่ หยิบไม้คีบมาเขี่ยถ่านข้างในกระถาง พอเห็นหลี่หลิงหว่านเดินเข้ามานางก็รีบเก็บไม้คีบในมือ ลุกขึ้นยืนแล้วเรียกคุณหนูออกมาคำหนึ่ง

หลี่หลิงหว่านผงกศีรษะให้นางก่อนจะส่งเตาพกที่อุ้มอยู่ไปให้ “เสี่ยวอวี้ ช่วยเติมถ่านให้ข้าหน่อยเถิด”

เดินวนข้างนอกรอบใหญ่นานถึงเพียงนี้ ถ่านในเตาพกย่อมดับไปนานแล้ว ยามนางถืออยู่ในมือจึงไม่ต่างกับถือน้ำแข็งเลยสักนิด

เสี่ยวอวี้ได้ยินแล้วตัวสั่นเล็กน้อย

หลี่หลิงหว่านคนเดิมเป็นคนอารมณ์ร้าย ด้วยฮว่าผิงเป็นคนรู้จักประจบเอาใจ ผู้เป็นนายจึงทำดีต่อฮว่าผิงอยู่บ้าง ส่วนกับเสี่ยวซานและเสี่ยวอวี้นั้น ขอแค่พวกนางทำไม่ดีเพียงเล็กน้อย หลี่หลิงหว่านคนเดิมก็จะต่อว่าพวกนาง ไม่ก็ลงโทษให้คุกเข่า ดังนั้นเมื่อจู่ๆ ได้ยินหลี่หลิงหว่านพูดคำว่า ‘ช่วย’ ขึ้นมาจึงทำให้เสี่ยวอวี้อดสะดุ้งตกใจไม่ได้

นางไม่กล้าพูดอะไร เพียงยื่นสองมือสั่นระริกออกไปรับเตาพกที่หลี่หลิงหว่านส่งมาให้ เปิดฝาทองแดงฉลุลายดอกไม้ข้างบนออกแล้วหยิบไม้คีบขึ้นมาอีกครั้ง คีบถ่านที่ไฟกำลังลุกโชติช่วงจากกระถางไฟขนาดใหญ่บนพื้นมาใส่ในเตาเงียบๆ จากนั้นจึงยื่นเตาพกส่งกลับไปให้ สองตาหลุบลงพลางเอ่ยอย่างนอบน้อม “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”

“ขอบคุณ” นางผงกศีรษะให้เสี่ยวอวี้อย่างเกรงใจ

เสี่ยวอวี้ได้ยินแล้วรีบคุกเข่าลงทันทีพร้อมเอ่ยอย่างหวั่นเกรง “คุณหนู ท่านเอ่ยเช่นนี้นับเป็นการบั่นทอนชีวิตของบ่าวแล้ว บ่าวรับไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ”

หลี่หลิงหว่านเองก็ถูกเสี่ยวอวี้ทำให้ตกใจ

อยู่ดีๆ จะคุกเข่าทำไมกัน ข้าสิถึงเป็นคนที่รับไม่ไหว

หลี่หลิงหว่านโน้มตัวลงช่วยประคองเสี่ยวอวี้ให้ลุกขึ้น ตั้งใจจะเอ่ยปลอบสักสองสามประโยค กลับเห็นฮว่าผิงเดินออกมาจากข้างในห้องเสียก่อน เพียงแต่นางออกมาอย่างเร่งรีบยิ่งนัก กระทั่งมุมปากยังเลอะไปด้วยเปลือกเมล็ดแตงอยู่เลย

ดูท่าแล้วก่อนหน้านี้ฮว่าผิงคงกำลังแอบอู้แทะเมล็ดแตงอยู่ในห้องและสั่งให้เสี่ยวอวี้ออกมาทำงานแทนเป็นแน่

“คุณหนู” ทันทีที่เห็นหลี่หลิงหว่าน ฮว่าผิงก็รีบยิ้มแล้วเดินขึ้นหน้ามาหา ก่อนจะยื่นมือออกมาช่วยนางปลดเสื้อคลุมพร้อมยิ้มแย้มเอ่ย “ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”

อีกทางยังหันไปต่อว่าเสี่ยวอวี้ “เจ้าเป็นรากไม้หรือไร เห็นคุณหนูกลับมาแล้วยังไม่รีบไปเทชาร้อนมาให้คุณหนูดื่มขับไล่ไอเย็นอีก”

เสี่ยวอวี้รับคำแล้วรีบร้อนหมุนตัวเตรียมจากไป

ทว่าหลี่หลิงหว่านกลับเปิดปากเรียกเสี่ยวอวี้ไว้ก่อน ทั้งยังหันหน้ากลับมาเอ่ยกับฮว่าผิง “ข้าไม่ดื่มชาหรอก ข้าจำได้ว่าในกล่องผลไม้ในห้องข้ามีผลส้มอยู่ เจ้าไปปอกมาให้ข้ากินที”

เมื่อครู่ที่เรือนของหลี่เหวยหยวนนางเข้าถึงบทบาทมากเกินไป ร้องไห้จนคอแหบคอแห้งแล้ว ตอนนี้จึงอยากกินของเย็นๆ ลงไปอย่างมาก

สีหน้าของฮว่าผิงมีความไม่สบายใจวาบผ่าน ทว่าในพริบตาต่อมานางก็กลับมาเป็นปกติ ยิ้มพลางเอ่ย “คุณหนูน่าจะจำผิดแล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่บ่าวเพิ่งจะดูมา ภายในกล่องผลไม้ไม่มีผลส้มหรอกนะเจ้าคะ”

หลี่หลิงหว่านตาไวทันเห็นสีหน้าไม่สบายใจเมื่อครู่นี้ของฮว่าผิงแต่แรกแล้ว ทั้งยังเห็นร่องรอยเปลือกส้มที่ปลายเล็บของนางด้วย ในเมื่อใช้มือปอกเปลือกส้มก็ต้องมีทิ้งร่องรอยเอาไว้บนปลายเล็บอยู่บ้าง

ทว่าหลี่หลิงหว่านกลับไม่ได้เอ่ยอะไร นางเพียงแค่ถามฮว่าผิง “แล้วภายในกล่องยังมีผลไม้อะไรอีก”

“บ่าวจำได้ว่ายังมีส้มโอเจ้าค่ะ”

“เอาเถอะ” หลี่หลิงหว่านเดินตรงไปยังตั่งไม้ข้างหน้าต่าง บอกด้วยสีหน้าเกียจคร้าน “เช่นนั้นก็ไปหยิบส้มโอมาแล้วกัน”

ในเวลาต่อมา หลี่หลิงหว่านกำลังถือส้มโอที่ปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วกิน ขณะเดียวกันก็มองสำรวจห้องไปด้วย

แม้จะข้ามมิติมาได้สองวันแล้ว แต่ช่วงเวลาสองวันนี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนสะลึมสะลือนอนอยู่บนเตียงทั้งวัน นางเพิ่งจะมีโอกาสได้มองสำรวจห้องที่ตนอยู่ในยามนี้เอง

ถึงอย่างไรเจ้าของร่างเดิมก็เป็นเด็กหญิงอายุแปดขวบ ย่อมต้องชอบสิ่งของที่มีสีชมพู ดังนั้นหลี่หลิงหว่านจึงเห็นเพดานของห้องนี้แขวนโคมมุกระย้าสีชมพูดอกท้อเอาไว้ ม่านมุ้งทั้งสี่ด้านที่แขวนอยู่บนเสาล้วนมีสีม่วงอมชมพู ตรงกลางห้องยังวางฉากบังลมทอลายดอกอวี้หลันบดบังสายตา ที่ด้านหลังมีเตียงสี่เสาเล็กๆ หลังหนึ่ง ห้อยม่านสีแดงสดใสเอาไว้

ขณะที่นางกำลังมองการตกแต่งภายในห้องก็เห็นเสี่ยวซานเดินเข้ามาเอ่ย “คุณหนู มีสาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่ามาขอพบท่านเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นถึงประมุขผู้มีอำนาจเด็ดขาดภายในจวนสกุลหลี่แห่งนี้ ดังนั้นหลี่หลิงหว่านจึงรีบร้อนเอ่ย “รีบไปเชิญนางเข้ามา”

เสี่ยวซานรับคำแล้วเดินไปเลิกม่านลายดอกไม้หลากสีที่ห้อยอยู่ตรงประตูกั้นห้องขึ้น ก่อนจะมีสาวใช้คนหนึ่งก้าวเท้าเข้ามา

หลี่หลิงหว่านเงยหน้ามองสาวใช้ผู้นั้น เห็นนางสวมเสื้อบุซับในสีแดงเข้มปักลายดอกไม้คู่กับกระโปรงสีขาว บนศีรษะปักปิ่นมุกลายดอกไม้ แล้วยังมีปิ่นหยกอีกอันหนึ่ง รูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้านหมดจด จากการแต่งกายก็สามารถบอกได้ว่าตำแหน่งของสาวใช้ผู้นี้ไม่ต่ำต้อย เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นหนึ่งในสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า

หลี่หลิงหว่านจำได้ว่าตนวางให้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ามีสาวใช้รุ่นใหญ่อยู่สองคน คนหนึ่งชื่อซวงหง อีกคนชื่อซวงหรง ไม่รู้เหมือนกันว่าสาวใช้ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เป็นใครในสองคนนั้น

โชคดีที่นางไม่ต้องเปลืองแรงไปหลอกถาม เพราะว่าสาวใช้ผู้นั้นเดินขึ้นหน้ามาย่อกายคารวะนางคราหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “ซวงหงคารวะคุณหนูเจ้าค่ะ”

เป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าไม่ผิดไปจากที่คาดจริงๆ เสียด้วย

หลี่หลิงหว่านในใจกระจ่างแล้วจึงยิ้มให้ซวงหงก่อนเอ่ยถามนาง “พี่ซวงหงมาหาข้าถึงที่นี่ ไม่ทราบว่าท่านย่ามีเรื่องอะไรมาบอกกล่าวหรือ”

ซวงหงได้ยินนางเรียกตนเองว่า ‘พี่ซวงหง’ ก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

คุณหนูสามผู้นี้เป็นคนอารมณ์ร้ายคนหนึ่ง อาศัยว่าฮูหยินผู้เฒ่าเอ็นดู และตำแหน่งหน้าที่การงานของบิดานางก็สูงกว่านายท่านใหญ่และนายท่านรอง ที่ผ่านมาจึงไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา แม้แต่ญาติพี่น้องที่อายุเท่ากันเหล่านั้นนางก็ยังไม่แยแส ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดาสาวใช้เช่นพวกตนเลย หนนี้จู่ๆ มาเรียกตนว่าพี่ซวงหง ทำให้ซวงหงคิดว่าตนเองคงฟังผิดไปเป็นแน่

อย่างไรอายุของซวงหงก็มากกว่า นิสัยนางก็หนักแน่นกว่ามาก ดังนั้นแม้จะประหลาดใจเพียงใด ทว่าบนใบหน้ากลับไม่แสดงความรู้สึกออกมาแม้แต่น้อย นางยังคงเอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม “ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้บ่าวมาหา ประการแรกเพราะเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของคุณหนู รู้สึกไม่วางใจจึงสั่งให้บ่าวมาดูอาการเจ้าค่ะ ส่วนประการที่สอง วันนี้ยามเช้าตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าไปไหว้พระที่วัดแล้วคิดถึงเหตุร้ายที่คุณหนูประสบมาเมื่อสองวันก่อน ในใจรู้สึกเป็นกังวลจึงได้ขอพรที่เบื้องหน้าเจ้าแม่กวนอินอย่างจริงใจ ทั้งยังนำยันต์คุ้มภัยอันหนึ่งกลับมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”

กล่าวจบก็ยื่นยันต์คุ้มภัยสีเหลืองร้อยเชือกสีแดงอันหนึ่งมาให้ด้วยสองมือ

หลี่หลิงหว่านยื่นมือออกไปรับ

ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนเชื่อในพระพุทธองค์มากคนหนึ่ง ถึงขั้นเปลี่ยนห้องเล็กในเรือนเป็นห้องพระ ทุกวันเช้ากลางวันเย็นจะต้องกราบไหว้พระพุทธรูปและเจ้าแม่กวนอินอยู่ในห้องเสมอ หากว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็มักจะไปไหว้พระที่วัดอยู่บ่อยๆ

ทว่านอกจากความเชื่อในพระพุทธองค์ที่วางไว้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีบุคลิกที่ถูกวางไว้อีกสองอย่าง นั่นก็คือการให้ความสำคัญกับลูกภรรยาเอกมากกว่าลูกอนุ และให้ความสำคัญกับบุรุษมากกว่าสตรี

คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าชอบมากที่สุดในตอนนี้ก็คือหลี่เหวยหลิง หลานชายคนรองที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอกของบุตรคนรอง ส่วนหลี่หลิงหว่านก็เป็นถึงหลานสาวคนโตที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอก ยามนี้บิดาของนางหลี่ซิวป๋ออยู่ที่เขตปกครองมณฑลเจ้อเจียง รับตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ที่ปรึกษาฝ่ายซ้าย ปัจจุบันนับเป็นคนที่มีอนาคตที่สุดในบรรดาบุตรชายทั้งสามของฮูหยินผู้เฒ่า

พอหลี่หลิงหว่านรับยันต์คุ้มภัยมาจากมือซวงหงแล้วก็รีบนำมาห้อยไว้ที่คอทันที ก่อนจะเอ่ยกับซวงหงว่า “รบกวนพี่ซวงหงกลับไปบอกท่านย่าด้วยว่าลำบากท่านย่าต้องเป็นห่วงแล้ว บาดแผลของข้าในตอนนี้ดีกว่าเมื่อสองวันก่อนมากนัก พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปคารวะท่านย่าถึงเรือน ถึงยามนั้นจะขอบคุณท่านย่าที่นำยันต์คุ้มภัยอันนี้กลับมาให้ข้าด้วยตนเองอีกที”

แม้จะประหลาดใจที่ตอนนี้คุณหนูสามรู้มารยาทมากถึงเพียงนี้ กระนั้นซวงหงก็ยังคงตอบรับทุกคำพูดของหลี่หลิงหว่านอย่างนอบน้อม ก่อนจะย่อกายคารวะบอกลานางแล้วหมุนตัวจากไป 

หลังจากซวงหงออกมาจากเรือนอี๋เหอของหลี่หลิงหว่าน นางก็ตรงกลับเรือนซื่ออันทันที

ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังหลับตา เอนกายบนเตียงเตา ในห้องอุ่นทิศตะวันออก

ซวงหงอยากจะเข้าไปรายงาน แต่พอเห็นท่าทางเช่นนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็ไม่กล้ารบกวน นางจึงหันตัวกลับไปอย่างแผ่วเบา ทว่าเพิ่งจะหันตัวกลับยังไม่ทันยกเท้าเสียด้วยซ้ำ นางก็ได้ยินเสียงฮูหยินผู้เฒ่าดังขึ้นมาจากด้านหลังอย่างไม่เร่งไม่ร้อน “เจ้ากลับมาจากเรือนคุณหนูสามแล้วหรือ บาดแผลของคุณหนูสามตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

ซวงหงได้ยินแล้วก็รีบร้อนหันกลับมายืนให้ดี จากนั้นจึงยิ้มแย้มเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่าช่างหูตาว่องไวเสียจริงเจ้าค่ะ บนพื้นปูพรมขนแกะหนาขนาดนี้แล้ว ฝีเท้าบ่าวเองก็วางเบาขนาดนั้น แต่ท่านกลับรู้ว่าบ่าวเข้ามา หูของท่านยังดีกว่าหูของบ่าวมากนักเจ้าค่ะ”

“เพ้ย!” ฮูหยินผู้เฒ่าถุยน้ำลายใส่นางคำหนึ่ง “เจ้าเด็กคนนี้ ถนัดแต่พูดคำรื่นหูพวกนี้มาเลอะเลือนคนแก่อย่างข้าเสียจริง”

ทว่าในใจฮูหยินผู้เฒ่ากลับมีความสุขยิ่ง ใครโดนประจบแล้วจะไม่มีความสุขบ้างเล่า บนใบหน้านางปรากฏรอยยิ้มกว้างก่อนจะถามอีกครั้ง “สรุปบาดแผลของหว่านเจี่ยเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

ซวงหงเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ตอนไปหาหลี่หลิงหว่านออกมาอย่างหมดเปลือก ทั้งยังเอ่ยคำพูดที่หลี่หลิงหว่านพูดกับนางทุกคำให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังอย่างละเอียดรอบหนึ่ง “บ่าวรู้สึกว่าจู่ๆ คุณหนูสามก็รู้ความขึ้นมาไม่น้อย ในคำพูดยังแฝงไปด้วยความเคารพท่าน กับบ่าวเองก็มีความเกรงใจ เทียบกับเมื่อก่อนแล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเจ้าค่ะ”

จะไม่แตกต่างได้อย่างไร แน่นอนว่าแต่ก่อนหลี่หลิงหว่านมีแต่สีหน้ายโสโอหังให้กับบ่าวรับใช้อย่างพวกนาง กระทั่งกับฮูหยินผู้เฒ่าเองนางก็ยังเย่อหยิ่งใส่ด้วย เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ใช่คนอารมณ์ดีอยู่แล้ว บางทีจึงอดมีโทสะกับคุณหนูสามไม่ได้ หากในวันหน้าคุณหนูสามยังคงเย่อหยิ่งเหมือนเมื่อก่อนนี้ เกรงว่าเวลาเพียงไม่นานก็คงทำให้ความรักความเอ็นดูเหล่านั้นที่มีอยู่ในใจของฮูหยินผู้เฒ่าหมดไป

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังคำพูดของซวงหงแล้ว ใบหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าอะไร บนข้อมือขวาของนางมีสร้อยลูกประคำอำพันอยู่เส้นหนึ่ง ในยามนี้นางถอดสร้อยลูกประคำออกมาวางบนมือ ใช้นิ้วโป้งเลื่อนไปทีละเม็ดๆ อย่างเชื่องช้าพร้อมเอ่ย “นางอายุแปดขวบแล้วก็ควรจะรู้ความได้แล้วกระมัง เด็กคนอื่นๆ ที่อายุเท่านางต่างเป็นทั้งเพลงพิณ หมากล้อม ลายอักษร ภาพวาดกันนานแล้ว งานเย็บปักถักร้อยก็ล้วนทำเป็น ทั้งคำพูดคำจาหรือกิริยามารยาทล้วนเหมาะสม แต่เจ้าดูนางสิ เรื่องพวกนั้นจะไม่เข้าใจก็แล้วไปเถอะ แต่คราก่อนที่ข้าพานางไปร่วมงานเลี้ยงของจวนก่วงผิงโหว* นางถึงกับผลักคุณหนูจากจวนไหวหนิงป๋อที่ไปร่วมงานเลี้ยงล้มลง ไหวหนิงป๋อใช่คนที่พวกเราจะล่วงเกินได้เสียที่ใด โชคดีที่ฮูหยินของไหวหนิงป๋อเป็นคนพูดง่าย เพียงบอกว่าเป็นการเล่นกันระหว่างเด็กสองคน ย่อมมีการพลั้งเผลอผลักกันล้มไปบ้าง จึงไม่ได้เอาเรื่องอะไรกับพวกเรา มิเช่นนั้นหากอีกฝ่ายคิดเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆ พวกเราก็คงได้รับบทเรียนไม่น้อยแน่ เป็นเพราะเรื่องนี้ ระยะนี้ถ้ามีงานเลี้ยงอะไร ในใจข้าก็ไม่อยากจะพานางไปด้วยเลย กลัวนางจะหาเรื่องมาให้ข้าอีก”

ซวงหงได้ยินแล้วบนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม นางเอ่ยว่า “ยามนั้นคุณหนูสามอายุยังน้อย ไม่แปลกหากจะกระทำเรื่องไม่ยั้งคิดไปบ้าง ทว่ายามนี้นางมิได้รู้ความขึ้นมาแล้วหรือเจ้าคะ บ่าวได้ยินคำพูดคำจาเมื่อครู่ของนางราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น ทั้งกิริยาวาจาล้วนมีมารยาทเป็นที่สุด หากท่านไม่เชื่อ รอดูพรุ่งนี้ตอนที่คุณหนูสามมาคารวะท่านก็ได้เจ้าค่ะ ส่วนเรื่องเพลงพิณ หมากล้อม ลายอักษร ภาพวาด เย็บปักถักร้อย คุณหนูสามเพิ่งจะแปดขวบเท่านั้นเอง เริ่มศึกษาตอนนี้ก็ไม่ช้าเกินไป เรื่องพวกนี้ในวันหน้านางย่อมทำเป็นหมดทุกสิ่งแน่นอนเจ้าค่ะ”

“ไว้ว่ากันเถิด” เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อคำพูดของซวงหง ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของนางจึงล้วนเรียบเฉย

ซวงหงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงแค่ยืนรวบมืออยู่ที่ด้านข้างนิ่งๆ

ในตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่บนเตียงเตาก็เปลี่ยนอิริยาบถเป็นท่าที่สบายกว่าเดิม ราวกับคิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้จึงเปิดปากเอ่ยกับซวงหงอีกครั้ง “เมื่อครู่ที่ฟังเจ้าพูดทำให้ข้าคิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้พอดี”

“ฮูหยินผู้เฒ่าคิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้หรือเจ้าคะ” ซวงหงรีบผุดรอยยิ้มเอ่ยถาม

“บรรดาคุณชายของตระกูลหลี่ก็ล้วนโตกันหมดแล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะได้รับการศึกษากันมาแล้ว เพราะแต่ละบ้านต่างก็เชิญอาจารย์มาถ่ายทอดวิชาให้กับพวกเขา แต่อย่างไรก็ยังเป็นการเรียนรู้ที่ต่างคนต่างเรียน ความตั้งใจของข้าคืออยากให้มีการสร้างเรือนปลีกวิเวกแห่งหนึ่งขึ้นภายในจวนโดยเฉพาะ จากนั้นให้ร่วมกันออกค่าใช้จ่าย เชิญอาจารย์บัณฑิตผู้มากความรู้ผู้หนึ่งมา แล้วให้หลานๆ ของข้ามารวมตัวเล่าเรียนกับอาจารย์คนเดียวกัน หากทำได้จริง นี่มิใช่เรื่องที่ดีหรอกหรือ”

ซวงหงย่อมเห็นดีด้วย นางเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าช่างฉลาดหลักแหลม มีสายตากว้างไกล ไม่มีใครเทียบเคียงท่านได้เลยเจ้าค่ะ” ก่อนจะเอ่ยอีกว่า “หนนี้ท่านเชิญอาจารย์บัณฑิตผู้เปี่ยมด้วยความรู้มาสอนสั่งบรรดาคุณชายภายในจวนของเรา ในอนาคตคุณชายทุกคนย่อมสามารถสอบได้เป็นจิ้นซื่อ สกุลหลี่ของพวกเราจะต้องรุ่งโรจน์เหมือนที่ผ่านมาแน่นอน”

บรรพบุรุษสกุลหลี่เคยได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมโยธา ทั้งยังเคยได้เข้าสภาขุนนาง ทว่าต่อมาความรุ่งโรจน์กลับค่อยๆ ลดน้อยลงมา จวบจนถึงรุ่นของนายท่านผู้เฒ่าแล้วสกุลหลี่ก็ยังเป็นแค่ขุนนางลำดับหลักขั้นห้าตำแหน่งรองผู้ช่วยฝ่ายขวาของศาลสถิตยุติธรรมเท่านั้น ส่วนบรรดาบุตรชายทั้งสามของฮูหยินผู้เฒ่านี้ บุตรคนโตหลี่ซิวซงจวบจนปัจจุบันยังเป็นแค่คนว่างงาน บุตรคนรองหลี่ซิวจู๋เป็นแค่จวี่เหริน มีเพียงบุตรคนที่สามหลี่ซิวป๋อที่สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อตอนอายุยี่สิบห้าปี หลังฝึกงานอยู่กรมอากรได้สักพักหนึ่งก็ถูกโยกย้ายไปยังมณฑลเจ้อเจียง ส่วนพวกรุ่นหลานจากที่ดูในตอนนี้ หลี่เหวยหลิงบุตรชายของบุตรคนรองนับเป็นคนมีพรสวรรค์ผู้หนึ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็ยิ้มแย้มผงกศีรษะ ในบรรดาสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายทั้งสองของตนนั้น นางค่อนข้างชอบซวงหงมากกว่าเล็กน้อย เด็กคนนี้ทั้งกระฉับกระเฉง ทั้งรู้จักพูดให้ถูกใจนาง

คิดแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นมาอีก “สกุลหลี่ของพวกเราเป็นสกุลบัณฑิต ไม่ได้ไร้การศึกษาเหมือนพวกชาวบ้านทั่วไปที่เห็นว่าสตรีไร้ความสามารถจึงจะนับว่าดี ในเมื่อคิดจะเชิญอาจารย์มาแล้วก็ให้เหล่าคุณหนูได้เล่าเรียนไปพร้อมกับเหล่าคุณชายด้วยกันเสียเลย ให้พวกนางรู้หนังสือบ้างเสียหน่อยจะได้ทันคน ในอนาคตยังเรียนรู้หน้าที่ของการเป็นภรรยาได้ง่ายขึ้นด้วย”

ซวงหงได้ยินแล้วก็รีบยิ้มเอ่ยทันที “สายตากว้างไกลของฮูหยินผู้เฒ่าช่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้เลยเจ้าค่ะ กว้างไกลกว่าคนอื่นๆ มากมายนัก พอคุณหนูของพวกเรารู้หนังสือแล้ว วันหน้ายามที่ท่านพาพวกนางไปร่วมงานเลี้ยงของสกุลอื่นอีกครั้ง ผู้คนย่อมเอ่ยว่าท่านอบรมสั่งสอนมาดี เมื่อคุณหนูทุกคนมีทั้งความรู้ความสามารถ วาทศิลป์ และกิริยามารยาทสง่างามเช่นนั้น บรรดาคุณชายชั้นสูงทั้งหลายมีหรือจะไม่รีบมาสู่ขอคุณหนูของพวกเราอีก”

ซวงหงเอ่ยประโยคนี้จนฮูหยินผู้เฒ่าหลุดยิ้มออกมา “ปากของเจ้าช่างมีพรสวรรค์เสียจริง รู้จักพูดให้คนแก่อย่างข้ามีความสุขเสมอ” จากนั้นจึงเอ่ยอีกว่า “ในเมื่อตั้งใจจะอบรมสั่งสอนบรรดาคุณหนูเพื่อที่ภายภาคหน้าจะได้จัดการเรื่องงานแต่งงานดีๆ ให้พวกนาง เช่นนั้นก็ตามนั้นเถอะ ให้ร่วมกันออกเงินอีกครั้ง ส่งคนไปสกุลซูเชิญหญิงปักผ้าชั้นสูงมา แล้วก็ตามหาอาจารย์สอนพิณ หมัวมัวสอนมารยาทมาด้วย พอฤดูใบไม้ผลิมาถึง อากาศอบอุ่นขึ้นแล้วก็ให้เล่าเรียนด้วยกันทั้งหมดเลย ถึงอย่างไรพวกคุณหนูก็โตกันแล้ว อย่างที่เจ้าบอก หากต้องออกไปพบปะผู้คน ย่อมไม่อาจให้สกุลหลี่ของพวกเราเสียหน้าได้”

ซวงหงตอบรับทุกคำ ก่อนจะเห็นสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าปรากฏความอ่อนล้าขึ้นมา นางจึงค่อยๆ ถอยออกจากห้องอุ่นไปเงียบๆ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ตะแคงตัว ห่มผ้าห่มขนสัตว์ไว้บนเข่า หนุนหมอนอิงปิดตาพักผ่อนไป

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 มิ.ย. 62

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Jamsai Editor: