เขตที่พักของเรือนซื่ออันบริเวณด้านหลังมีห้องหลักอยู่ทั้งหมดห้าห้อง ตรงกลางเป็นห้องโถง ปีกตะวันตกและปีกตะวันออกเป็นห้องรอง ถัดไปที่ริมทั้งสองฝั่งยังมีห้องอยู่อีกฝั่งละห้อง
ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังอยู่ภายในห้องริมปีกตะวันออก
ห้องริมปีกตะวันออกห้องนี้ตั้งใจกั้นเป็นห้องอุ่นอีกห้องขึ้นมา ในฤดูหนาวฮูหยินผู้เฒ่าก็จะพักผ่อนอยู่ในห้องอุ่นแห่งนี้
สาวใช้เลิกผ้าม่านหนาบริเวณประตูกั้นห้องขึ้น หลี่หลิงหว่านก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนเดินเข้ามา
ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว นางเป็นคนขี้หนาว แม้ตอนกลางคืนจะพักผ่อนอยู่ในห้องอุ่นแล้ว แต่ตรงกลางห้องก็ยังวางกระถางไฟสามขาชุบทองเขียนลายกระถางหนึ่งเอาไว้ ยามปกติคงมีสาวใช้มาคอยเติมถ่านอยู่เสมอ เพราะยามนี้เปลวเพลิงภายในนั้นยังคงลุกไหม้โชติช่วงเป็นสีแดงสว่าง
แต่ต่อให้เป็นถ่านที่ดีแค่ไหนก็ยากจะไม่มีกลิ่น แม้ในกระถางไฟจะเพิ่มถ่านหอมดอกเหมยลงไปแล้ว ทว่ากลิ่นหอมหวานของดอกเหมยก็ยังคงกลบกลิ่นของถ่านได้ไม่มิด
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กำลังให้สาวใช้ปรนนิบัติหวีผม เห็นหลี่หลิงหว่านเดินเข้ามาแล้วนางก็ผงกศีรษะให้ พลางยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาเช้าขนาดนี้ได้เล่า”
หลี่หลิงหว่านปลดเสื้อคลุมบนร่างให้สาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง และนำเตาพกที่ถืออยู่ส่งกลับไปให้เสี่ยวซาน ก่อนจะเดินขึ้นหน้าแล้วรับหวีเสนียดที่อยู่ในมือสาวใช้มาถือ หยุดยืนอยู่ด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อปรนนิบัตินางหวีผม พร้อมกับเอียงศีรษะยิ้มแย้มเอ่ย “หลานไม่ได้เจอท่านย่ามาหลายวันเลยรู้สึกคิดถึงท่านย่าเจ้าค่ะ วันนี้หลานทนรออีกไม่ไหว อยากรีบมาหาท่านย่าแต่เช้า”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ใช่คนที่ชอบกำหนดกฎระเบียบอะไรมากมาย ดังนั้นจึงไม่ได้กำหนดให้บรรดาลูกหลานหรือสะใภ้ต้องมาคารวะนางทุกๆ วัน สาเหตุสำคัญคือหากพวกเขามาคารวะทุกวัน นางเองก็ต้องตื่นเช้าตามไปด้วย นางไม่อยากตื่นเช้าทุกวัน ด้วยยังอยากนอนหลับพักผ่อนอย่างสงบให้ยาวนานขึ้นมากกว่า ดังนั้นจึงกำหนดให้พวกเขามาคารวะนางทุกๆ วันที่หนึ่งกับวันที่สิบห้าของเดือนก็พอแล้ว
วันนี้เป็นวันแรกของเดือนสิบสองพอดี
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินหลี่หลิงหว่านเอ่ยเช่นนี้กับตนเอง นางก็อดหยักยิ้มขึ้นมาไม่ได้ นางกำลังนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งสีแดงปักลายอู่ฝูเผิ่งโซ่ว* มองไปในกระจกสำริดฝังอัญมณีที่ถูกขัดจนเงาวับ ภายในนั้นสะท้อนภาพเด็กหญิงอายุแปดขวบกำลังยืนอยู่ข้างหลังนาง อีกฝ่ายมีส่วนสูงเพียงแค่ตัวนางที่นั่งอยู่เท่านั้น ทว่าในมือกลับถือหวีเสนียดช่วยนางหวีผมอย่างตั้งอกตั้งใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
เมื่อก่อนนิสัยหลี่หลิงหว่านซุกซนราวกับลิงอย่างไรอย่างนั้น ทั้งไม่เคยมีช่วงเวลาที่สงบเสงี่ยมเช่นนี้ อย่างน้อยนางก็ไม่เคยเห็นสีหน้าตั้งใจเช่นนี้จากบนใบหน้าหลี่หลิงหว่านมาก่อนเลย
จู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกเชื่อคำพูดเหล่านั้นที่ซวงหงพูดขึ้นมาเมื่อวานแล้ว หลานสาวคนนี้ของนางราวกับว่ารู้ความขึ้นมาในชั่วข้ามคืนจริงๆ
คิดมาถึงตรงนี้ในใจนางก็ยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น เพราะนางชื่นชอบเด็กที่เชื่อฟังและรู้ความอยู่แล้ว
เห็นหลี่หลิงหว่านยังคงค่อยๆ ช่วยนางหวีผม ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยิ้มเอ่ย “ช่างเถิด เจ้าไม่ต้องหวีผมให้ข้าแล้ว เมื่อยมือเปล่าๆ เรียกซวงหงมาช่วยข้าหวีผมเถอะ”
หลี่หลิงหว่านได้ยินแล้วก็ผ่อนคลายลง ก่อนจะยื่นหวีเสนียดในมือส่งไปให้สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เดิมทีนางก็เกล้ามวยผมไม่เป็นอยู่แล้ว ทรงผมมวยคู่บนศีรษะตนเองนี้นางยังให้ฮว่าผิงเป็นคนทำให้อยู่เลย
ซวงหงเดินขึ้นหน้ามาแล้วโน้มตัวลงหยิบหวีไม้จันทน์ที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าเกล้าผม
ทรงผมที่ซวงหงเกล้าให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเพียงมวยกลมธรรมดา อย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นผู้อาวุโส จะให้เกล้าเป็นทรงสลับซับซ้อนก็ไม่เหมาะ แต่รอจนซวงหงปักปิ่นขนนกและปิ่นระย้าลงไปแล้ว มวยกลมที่แสนจะธรรมดานี้กลับดูสูงศักดิ์ขึ้นมาได้เช่นกัน