บทที่ 2 คำว่ารักที่เคยรอ
‘พี่ไม่เลิก’
‘นีซจะไม่มีวันยิงตัวตาย’
‘ถ้ามีวันหนึ่งที่นีซต้องหยิบปืนขึ้นมาเพื่อจบชีวิตใครสักคน ขอให้คนคนนั้นเป็นพี่’
ยอมรับเลยว่าคำพูดเหล่านั้นของอัตรคุปต์…สั่นคลอนหัวใจนิสรีนได้อย่างร้ายกาจ
“เพราะอะไรกันนะ”
เพราะอะไรกัน…คนที่ควรจะดีใจกับการเลิกราระหว่างเราถึงได้พูดแบบนั้น ทำแบบนั้น พยายามเหนี่ยวรั้งกันไว้อย่างสุดกำลัง
“คุณนีซคะ ถึงคิวแล้วค่ะ” เสียงเตือนอย่างกล้าๆ กลัวๆ ของทีมงานปลุกให้นิสรีนตื่นจากภวังค์ ดวงตาสวยเฉี่ยวซึ่งถูกแต่งแต้มอย่างดีตวัดมองคนเรียก ในอกไหววูบเมื่อเห็นอีกฝ่ายผงะไปคล้ายกลัวเธอจะวีนใส่ หญิงสาวกำมือแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมา ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีหวานพยายามคลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร
ทว่านางร้ายอย่างเธอคล้ายจะถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ว่าถ้านอกเหนือจากการแสดงละครเมื่อไร แม้รอยยิ้มบนใบหน้าจะงดงามแค่ไหน แต่สำหรับคนรอบตัวโดยเฉพาะผู้ร่วมงานทั้งหลายมันก็ดูเป็นรอยยิ้มอาบยาพิษของนางร้ายมากกว่ารอยยิ้มใจดีแบบนางเอก
เฮ้อ! ถ้าจะขนาดนี้ทำไมยายนักเขียนนั่นถึงมอบอาชีพนางเอกละครให้เธอนะ ต้องการความคอนทราสต์นักหรือไง
นิสรีนคิดอย่างประชดประชัน ค่าที่เธอเป็นนางเอกแถวหน้าของวงการบันเทิง แต่ในชีวิตจริงนอกฉากไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ทั้งสีหน้า น้ำเสียง หรือรอยยิ้มก็ดูเป็นคุณหนูไฮโซเจ้าอารมณ์แสนร้ายกาจราวกับเป็นคนละคนกับในละคร
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ เมื่อการพยายามส่งยิ้มผูกมิตรไม่เป็นผล นางเอกสาวชื่อดังเจ้าของฉายา ‘เจ้าหญิงกุหลาบขาว’ จึงลองใหม่อีกครั้ง
“ขอบคุณ…ค่ะ”
พังไม่เป็นท่า
เสียงก็แข็ง ทั้งยังฟังดูเย่อหยิ่ง หางเสียงเกือบจะไม่มีด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้นิสรีนเคยไม่เข้าใจว่าทำไมเธอที่เป็นนักแสดงฝีมือฉกาจ สามารถถ่ายทอดทุกบทบาทของตัวละครออกมาได้อย่างไร้ที่ติ แต่พอได้ยินเสียงสั่งคัตปุ๊บกลับไม่สามารถคอนโทรลได้แม้กระทั่งสีหน้าหรือน้ำเสียงให้ดูเป็นมิตรอย่างที่คนปกติเขาเป็นกัน จนวันที่ได้รู้ว่าเธอคือ ‘นางร้าย’ ของโลกใบนี้นั่นแหละถึงได้เข้าใจ
ก็เป็นนางร้ายนี่เนอะ จะทำตัวดีกับคนอื่นได้สักแค่ไหนกัน
นี่ยังดีเท่าไรที่ยายนักเขียนคงนึกขึ้นได้ว่าถ้าเธอเอาแต่ทำตัวเย่อหยิ่งจองหองแบบนี้ไปทั่ว ไอ้ภาพลักษณ์นางเอกแสนดีคงถูกฉีกกระชากทิ้งตั้งแต่นางเอกตัวจริงยังไม่ทันปรากฏตัว ดังนั้นนอกจากในการแสดงแล้ว นิสรีนยังสามารถปั้นสีหน้าดีๆ และทำน้ำเสียงเป็นมิตรได้ตอนเจอแฟนคลับหรือคนทั่วไป
เหมือนจะดีนะ แต่ก็แอบไม่เมกเซ้นส์ยังไงบอกไม่ถูก ร้ายกับแค่บรรดาคนใกล้ตัวและคนทำงานด้วยกันงี้?
นางเอกละครชื่อดังซึ่งเป็นนางร้ายของโลกใบนี้ถอนหายใจให้กับความไม่สมเหตุสมผลเหล่านั้น ร่างระหงได้สัดส่วนลุกจากเก้าอี้ในห้องแต่งตัว เดินตามทีมงานคนเดิมขึ้นเวทีอีเวนต์เปิดตัวน้ำหอมระดับไฮเอ็นด์กลางห้างสรรพสินค้าชื่อดังซึ่งเป็นงานแรกที่เธอรับในรอบสองเดือนหลังประสบอุบัติเหตุพร้อมอดีตคนรัก
เหมือนกับทุกครั้ง…เวลาทำงานของนิสรีนมักผ่านไปอย่างรวดเร็วกระทั่งตัวเธอเองยังตั้งตัวไม่ทัน เหมือนเพียงแค่กะพริบตาครั้งหนึ่งทุกอย่างก็จบลงแล้ว ก่อนหน้านี้หญิงสาวเคยสงสัยอยู่หรอก…แต่มาวันนี้เธอเดาได้ว่าอะไรก็ตามที่ ‘นักเขียน’ ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจมากนักก็จะถูกเขียนผ่านๆ เล่าผ่านๆ เท่านั้น
เกมกุหลาบเป็นนิยายที่เน้นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของตัวละครมากกว่าความสมจริงสินะ
ร่างที่ได้สัดส่วนภายใต้เดรสสีม่วงสวยเข้ากับธีมงานไปยืนหน้าแบ็กดร็อปซึ่งมีนักข่าวหลายสำนักยืนออกันอยู่ภายใต้การคุ้มกันของทีมรักษาความปลอดภัย วงหน้างดงามเชิดขึ้นจนเห็นลำคอระหงขาวผ่อง ประกายจากต่างหูเพชรคู่ยาวสะท้อนแสงวิบวับ แต่นั่นยังไม่สะกดทุกสายตาได้เท่ากับริมฝีปากรูปกระจับที่กำลังคลี่ยิ้มอย่างน่าหลงใหล
นักข่าวเกือบทุกคนต่างรู้ดีว่าภายใต้ภาพลักษณ์นางเอกสาวแสนดีของประชาชนนั้น กุหลาบขาวแห่งอัศมาลย์เป็นนางเอกไฮโซผู้เย่อหยิ่งและเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจเพียงไร เคยมีคนคิดอยากจะแบนนิสรีนออกจากวงการอยู่หลายครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับฝีมือการแสดงอันโดดเด่น ความงดงามอันน่าหลงใหลที่ขโมยหัวใจประชาชนได้กว่าครึ่งประเทศ และอำนาจแห่งเงินตราซึ่งมาจากการเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลอัศมาลย์ พ่วงด้วยตำแหน่งว่าที่ภรรยาผู้นำตระกูลมหัสวัต สองตระกูลที่ร่วมมือกันก่อตั้งบริษัท MA Property ยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีทั้งโครงการหมู่บ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมเกือบร้อยโครงการทั่วประเทศ
แต่ถึงจะแบนไม่ได้ก็ใช่ว่าสื่อมวลชนจะไม่มีวิธีเอาคืนเจ้าหญิงกุหลาบขาวคนนี้
“วันนี้ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะคะ” นักข่าวคนหนึ่งเอ่ยทัก ซึ่งคนที่ยังสวยเหมือนเดิมก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบกลับอย่างมั่นใจ
“เหรอคะ แต่นีซว่าวันนี้นีซสวยกว่าเมื่อวานอีกนะ”
ถึงจะเป็นคำตอบทีเล่นทีจริงที่ดูหลงตัวเองไปนิด ทว่าทุกคนต่างชินเสียแล้วกับการอวยตัวเองของนางเอกสาว และที่น่าหงุดหงิดก็คือประชาชนกลับรู้สึกว่าท่าทางแบบนี้ของเธอดูน่ารักขี้เล่นเสียมากกว่าน่าหมั่นไส้ หลังสัมภาษณ์เรื่องผลิตภัณฑ์ของงานอีเวนต์วันนี้ รวมถึงละครเรื่องล่าสุดที่กำลังจะเปิดกล้องถ่ายทำในสัปดาห์หน้าไปได้ครู่หนึ่ง นักข่าวสาวฝีปากกล้าซึ่งรู้กันดีว่าเป็นอริกับนิสรีนก็เปิดประเด็นขึ้นมา
“เอ วันนี้นิ้วคุณนีซดูโล่งๆ นะคะ แหวนเพชรเจ็ดกะรัตวงสวยที่คุณคุปต์หมั้นหมายหายไปไหนแล้วเอ่ย”
คำถามนั้นเรียกให้สายตาทุกคู่ย้ายจากใบหน้าสวยๆ ไปยังนิ้วเรียวยาวซึ่งยังหลงเหลือรอยแหวนให้เห็นจางๆ พร้อมกับทำให้หลายคนนึกถึง ‘ข่าวลือ’ ที่เมื่อปลายเดือนก่อนเพจก๊อสซิปชื่อดังเม้าท์มอยว่ามีคู่รักไฮโซชื่อดังรักร้าวระฆังวิวาห์แตกกระจาย แน่นอนว่าจากคำใบ้ต่างๆ หนึ่งในแคนดิเดตนั้นย่อมมีนางเอกไฮโซอย่างนิสรีนที่เพิ่งหมั้นหมายกับคนรักไปเมื่อกลางปีก่อนรวมอยู่ด้วย
“อ้อ” แทนที่จะหน้าซีดเจื่อนสนิทหรือชักสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างที่ควรเป็น นิสรีนกลับหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง มือซ้ายขาวนวลซึ่งมีกำไลคาร์เทียร์ประดับอยู่เพียงวงเดียวถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา ทั้งที่เตรียมคำตอบไว้แต่แรกแล้ว ทว่านางเอกสาวก็ยังเลือกที่จะเอียงคอมองคนตั้งคำถามยิ้มๆ “ตาดีจังเลยนะคะ ขอบคุณที่ใส่ใจนีซขนาดนี้”
‘ใส่ใจ’ ฟังดูเป็นคำที่มีความหมายเชิงบวก แต่ใครที่หัวไวหน่อยคงรู้ดีว่าปัจจุบันมันแฝงไปด้วยความหมายเชิงลบอย่าง ‘ช่างเผือก’ หรือให้ตรงกว่านั้นคือสอดรู้สอดเห็นจนเกินงาม และแน่นอนว่านักข่าวสาวซึ่งเคยมีกรณีพิพาทกันมาหลายรอบย่อมเข้าใจความนัยนั้น หล่อนหน้าตึง ริมฝีปากกระตุกยิ้มเกร็ง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ
“แหมๆ ถ้าไม่สังเกตเห็นก็คงจะยากนะคะ คุณนีซทั้งเห่อทั้งภูมิใจเสียจนไม่ยอมถอดออกกระทั่งตอนถ่ายละครเลยนี่คะ” นั่นเคยเป็นปัญหาน่าปวดหัวให้กับกองถ่ายละครอยู่พักใหญ่ เมื่อนางเอกสาวคนสวยที่ในเรื่องต้องแสดงเป็นคนโสดสนิทดึงดันไม่ยอมถอดแหวนหมั้นซึ่งแสนจะโดดเด่นสะดุดตาวงนั้นออก ก่อนจะจบลงด้วยการที่นิสรีนยอมถอดออกตาม ‘คำสั่ง’ ของคู่หมั้น
“งั้นเหรอคะ” นิสรีนพยักหน้ารับ ปลายนิ้วโป้งถูไถโคนนิ้วนาง หัวใจโหวงเหวงเล็กน้อยเมื่อพบความว่างเปล่าที่ไม่คุ้นเคย แต่ถึงอย่างนั้นวงหน้างดงามก็ยังประดับด้วยรอยยิ้ม “ที่จริงตอนแรกนีซตั้งใจว่าจะรอแถลงข่าวพร้อมกัน แต่เพราะมีคนตาดีสังเกตเห็นเสียก่อน งั้นนีซขอพูดเลยก็แล้วกันเนอะ” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอด สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองขณะประกาศ “ที่ไม่เห็นนีซใส่แหวนหมั้น ก็เพราะนีซไม่ได้หมั้นแล้วน่ะค่ะ”
ไม่พูดเปล่า เจ้าหญิงกุหลาบขาวยังโบกมือข้างซ้ายให้ช่างภาพได้บันทึกไปทำข่าวกันอย่างทั่วถึง
ทั้งคำพูดและท่าทางของนางเอกสาวสร้างความฮือฮาให้กับนักข่าวรวมถึงทีมงานที่ได้ยิน ดวงตาหลายคู่เป็นประกายแวววาวเมื่อรู้ว่ากำลังจะได้ ‘ข่าวใหญ่’ ติดไม้ติดมือกลับไป
“นีซคะ หมายความว่ายังไงคะ”
“น้องนีซถอนหมั้นกับคุณคุปต์แล้วเหรอคะ”
“คุณนีซช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้มั้ยคะ”
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอยืนอยู่ท่ามกลางวงคำถามของนักข่าว ทว่านิสรีนก็ยังต้องตั้งสติและเกร็งกล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ให้แสดงความหงุดหงิด หญิงสาวปรายตามองผู้จัดการส่วนตัวที่ยืนทำหน้าเหวอไปแวบหนึ่งเพราะไม่คิดว่าเธอจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ ‘เจนสุดา’ จึงรีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ใจเย็นๆ นะคะ คุณนีซจะตอบทุกคำถามค่ะ แต่อย่าถามพร้อมกันแบบนี้นะคะ มันฟังยากค่ะ”
รอจนทัพนักข่าวเริ่มสงบลง นิสรีนก็เริ่มตอบคำถามอย่างที่ตั้งใจไว้
“อย่างที่นีซบอกไปเลยค่ะ นีซไม่ได้หมั้นกับพี่คุปต์แล้ว”
ดวงตาสวยเฉี่ยวกวาดมองกล้องทีละตัว ริมฝีปากผุดรอยยิ้มผิดกับแววตาที่ซุกซ่อนความขื่นขมเอาไว้แทบไม่มิด
เพราะลึกลงไป…เธอก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้
แต่ถ้าไม่อยากตายอย่างนางร้าย นิสรีนก็ต้องถอนตัวออกจากความสัมพันธ์กับอัตรคุปต์ตั้งแต่ตอนนี้
“นีซกับพี่คุปต์ เราสองคน…”
“นีซแค่อำเล่นน่ะครับ”
ก่อนเธอจะพูดจบความสัมพันธ์รักเจ็ดปี เสียงเย็นชาของใครบางคนก็ดังผ่าขึ้นกลางวง เรียกให้ทุกสายตาซึ่งเคยจับจ้องเธอหันไปมองเขา…ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำสนิทตัดกับกุหลาบขาวช่อโตในมือค่อยๆ ก้าวฝ่าวงล้อมของนักข่าวซึ่งแหวกทางให้แต่โดยดีเข้ามายืนข้างนางเอกสาว
เพราะรู้จักกันมาแทบทั้งชีวิต นิสรีนจึงเห็นชัดว่าอัตรคุปต์กำลังตำหนิเธอผ่านสายตา แต่มือหนากลับส่งกุหลาบขาวช่อนั้นมาให้
“ของนีซ”
“อะ เอ่อ…ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับมาถืออย่างงุนงง หัวใจเจ็บแปลบยามหวนคิดถึงความหลัง
ทุกวันวาเลนไทน์เธอจะได้รับช่อดอกไม้จากอัตรคุปต์ ทว่านิสรีนรู้ดีว่ามันเป็นของที่ถูกเตรียมไว้โดยเลขาฯ มืออาชีพของอีกฝ่าย
กุหลาบขาวแห่งอัศมาลย์เผลอสะดุ้งเล็กๆ ยามอดีตคนรักวาดมือมาโอบไหล่เธอเอาไว้ก่อนจะหันไปให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคง
“ที่นีซบอกว่าเราไม่ได้หมั้นกันแล้วแค่ล้อเล่น เพราะจริงๆ แล้วเรากำลังจะแต่งงานกัน”
“คะ?! ยังไงนะคะ”
“ไหนครั้งก่อนคุณคุปต์ให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่มีแพลน…”
เมื่อสามเดือนก่อนตอนเจออัตรคุปต์ในงานเปิดตัวคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ที่หัวหิน ชายหนุ่มยังปฏิเสธหน้าตึงว่าไม่มีแพลนจะแต่งงานในเร็วๆ นี้ ขัดกับคำให้สัมภาษณ์ของนิสรีนซึ่งออกตัวว่ากำลังหารือกันอยู่
แล้ววันนี้มันยังไงอีก ทำไมอยู่ดีๆ นางเอกสาวที่เคย ‘ออกตัวแรง’ ว่าจะแต่งแน่ๆ ถึงบอกว่าไม่ได้หมั้นกันแล้วด้วยท่าทางเหมือนจะประกาศว่าเลิกรากันกับคนรัก ส่วนนักธุรกิจหนุ่มที่เคยปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่มีแพลนจะแต่งงานกลับก้าวเข้ามาขัดว่านิสรีนแค่ล้อเล่นเพราะทั้งคู่กำลังจะแต่งงานกัน
คู่นี้เคยคุยกันให้เคลียร์ก่อนให้สัมภาษณ์บ้างไหมนะ
นักข่าวหลายคนสงสัยอยู่ในใจ แต่สีหน้าของอัตรคุปต์กับฐานะของอีกฝ่ายทำให้ไม่มีใครกล้าเปิดปากถามออกไปตรงๆ
“ครั้งก่อนมันตั้งสามเดือนแล้ว เวลาสามเดือนมันมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง”
โดยเฉพาะความรู้สึกของเขาที่มีต่อนิสรีน มันลึกซึ้งขึ้นมากกว่าเดิมนับร้อยเท่า
“ถ้าแค่จะแต่งงานกัน แล้วทำไมคุณนีซต้องถอดแหวนหมั้นออกด้วยล่ะคะ” ดวงตาคมกริบมองไปทางคนถาม อัตรคุปต์จำได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นนักข่าวสาวที่เคยมีปัญหากับคนรัก ริมฝีปากหนากระตุกยิ้ม เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นแดงเรื่อขึ้นมาแวบหนึ่ง
“ที่ผมให้ถอดเพราะจะเปลี่ยนวงใหม่ให้น่ะ วงนั้นมันสวยก็จริงแต่หนักไปจนผมกลัวว่านิ้วเล็กๆ ของนีซจะรับน้ำหนักไม่ไหว” ชายหนุ่มดึงมือซ้ายของคนรักขึ้นมาลูบด้วยท่าทางทะนุถนอม “แทนที่จะใส่แหวนเพชรเม็ดโตให้หนักนิ้ว เปลี่ยนเป็นแหวนเพชรน้ำงามวงเล็กๆ น่ารักที่ใส่ได้ทุกวันจะดีกว่า แล้วอีกอย่าง…” นัยน์ตาสีเข้มสบมองดวงตาสีน้ำตาลสวยซึ่งเต็มไปด้วยความสับสนคู่นั้น “ถ้าจะต้องใส่แหวนหนักๆ ทั้งที นายหญิงคนใหม่แห่งมหัสวัตก็ควรสวมแหวนประจำตระกูลวงนั้นมากกว่า”
‘ประกาศแต่งแล้ว! เจ้าหญิงกุหลาบขาวกับผู้นำแห่งมหัสวัต’
‘สยบข่าวลือรักร้าว นักธุรกิจไฮโซหอบกุหลาบช่อโตประกาศแต่งงานกลางวงสัมภาษณ์’
‘อัตรคุปต์ย้ำชัด แต่งแน่นิสรีน!’
‘เรือล่มในหนองทองจะไปไหน ย้อนดูตำนานความรักระหว่างเจ้าชาย-เจ้าหญิงแห่ง MA Property’
‘ชาว MA Property เฮลั่น! หุ้นพุ่งพรวดเพราะข่าวการประกาศแต่งงานของสองทายาทผู้ก่อตั้งคนดังแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์’
“นี่มันอะไรกันตาคุปต์!”
เสียงแหลมสูงของสตรีสูงวัยผู้ทรงอำนาจแห่งตระกูลมหัสวัตดังลั่นห้องนั่งเล่นในคฤหาสน์มูลค่าหลายร้อยล้าน แท็บเลตราคาแพงถูกโยนลงบนโต๊ะราวกับสินค้าราคาถูก ซึ่งสำหรับนายหญิงใหญ่แห่งมหัสวัตอย่าง ‘คุณศจี’ แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ดวงตาคมกริบของอัตรคุปต์ยอมละจากวงหน้างดงามของคนรักที่เอาแต่นั่งเชิดหน้าหลังตรงไม่ยอมพูดจาหันกลับไปมองย่าของตน เขาตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“ก็ข่าวแต่งงานของผมกับนีซไงครับ”
“แต่งงานอะไรกัน! ทำไมพวกเธอสองคนทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาฉันแบบนี้ฮะ!” คุณศจีโวยลั่น ดวงตาคมคล้ายคลึงกับหลานชายหันไปถลึงใส่ว่าที่หลานสะใภ้อย่างดุดัน “เธอใช่มั้ยนีซที่กดดันบังคับให้ตาคุปต์ประกาศแต่งงานกลางวงนักข่าวแบบนั้น! นี่คิดจะกดดันฉันงั้นเหรอ”
คำกล่าวโทษนั้นไม่ได้ทำให้นิสรีนตกใจอะไร กลับกันนั่นคือสิ่งที่เธอเดาเอาไว้อยู่แล้วตั้งแต่อัตรคุปต์ไปรับมาจากบ้านเพราะ ‘คุณย่ามีเรื่องจะคุยด้วย’
ก็นะ นอกจากคุณศจีจะไม่ชอบเธอเป็นทุนเดิมจนรู้สึกขวางหูขวางตาไปเสียทุกอย่าง คนที่ก่อนหน้านี้กระตือรือร้นรบเร้าจะแต่งงานให้ได้ก็เป็นเธอ ดังนั้นหากท่านจะเข้าใจแบบนั้นก็ไม่แปลกอะไร
“ไม่ใช่นีซค่ะ” หญิงสาวเอ่ยปฏิเสธ ดวงตาสวยเฉี่ยวเลื่อนขึ้นสบตาย่าของอดีตคนรักอย่างไม่หวั่นเกรงรังสีกดดันจากอีกฝ่าย
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้คุณศจีไม่พึงพอใจว่าที่หลานสะใภ้จากตระกูลอัศมาลย์คือท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมใครของเธอนี่แหละ
เด็กที่ไร้มารยาทไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าไม่ติดที่ลูกชายท่านสัญญาไว้กับราเชนล่ะก็ ให้ตายอย่างไรคุณศจีก็ไม่มีวันยอมให้หลานชายคนเดียวไปเกี่ยวพันด้วยเด็ดขาด
เพราะงั้น…ยื้อให้ไม่ต้องแต่งงานได้นานเท่าไรก็ยิ่งดี
แล้วนี่อะไร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ท่านและอัตรคุปต์มีความคิดเห็นตรงกันเรื่องยื้อการแต่งงานครั้งนี้ออกไปให้นานที่สุด แต่ไม่รู้เพราะอะไรอยู่ดีๆ หลานชายคนเดียวถึงได้เดินผ่าวงนักข่าวไปประกาศแต่งงานเสียอย่างนั้น
“คุณย่าคิดว่านีซจะกดดันบังคับอะไรพี่คุปต์ได้จริงๆ เหรอคะ” นิสรีนแค่นหัวเราะ ก้นบึ้งในดวงตาฉายแววเจ็บปวด “ถ้านีซทำได้…นีซคงได้ใช้นามสกุลมหัสวัตของคุณย่าไปตั้งแต่ปีก่อนแล้วล่ะค่ะ”
“แต่เดี๋ยวนีซก็จะได้ใช้แล้วไง” อัตรคุปต์ที่รู้ว่าคนรักกำลังคิดอะไรอยู่หันไปบอกเป็นเชิงปลอบโยน ก่อนจะกลับมาคุยกับย่าตัวเองด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “นีซไม่ได้บังคับอะไรผมหรอก คุณย่าก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง กลับกัน…” ริมฝีปากหนาแสยะยิ้มหยัน “นีซบอกเลิกผมด้วยซ้ำ”
“ว่าไงนะ!” คุณศจีส่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องนี้ทำให้ท่านตกใจได้มากกว่าข่าวประกาศแต่งงานของหลานชายเสียอีก หญิงชราซึ่งยังมีสุขภาพกายและใจแข็งแรงดีหันขวับไปมองหญิงสาวที่จับจองตำแหน่งว่าที่สะใภ้มหัสวัตมาเกือบสิบปี “เธอบอกเลิกตาคุปต์?” พอคิดอะไรได้ท่านก็แค่นเสียงเยาะ “เหอะ ลูกเล่นไม้นี้ของเธอคงได้ผลจริงๆ นั่นแหละ”
จากที่เป็นฝ่ายไล่ตามจนทำให้ผู้ชายเบื่อหน่าย ดูท่ายายเด็กตระกูลอัศมาลย์จะเริ่มมีสมองมากขึ้นถึงได้เปลี่ยนไปใช้ยุทธวิธี ‘ปล่อยเพื่อจับ’ กระตุ้นความสนใจของหลานชายท่าน และจากสถานการณ์ตอนนี้ดูเหมือนว่าอัตรคุปต์จะติดกับเข้าเต็มเปา
ทั้งนิสรีนและอัตรคุปต์มองออกว่าคุณศจีคิดอย่างไร หญิงสาวกำมือแน่น ดวงหน้างดงามเชิดขึ้น นัยน์ตาเฉี่ยวเคลือบคลอด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บใจระคนน้อยใจ
ที่ไม่ว่าอย่างไร…ในสายตาคุณศจี เธอก็ไม่เคยทำอะไรดีเลยสักอย่าง
ก็นะ…คงเพราะเธอถูกสร้างมาให้เป็นนางร้ายที่ย่าพระเอกไม่มีวันยอมรับได้ เพื่อเปิดทางให้ท่านมองเห็นความดีงามของนางเอกผู้มาทีหลังนั่นแหละ
“นีซไม่ได้เล่นลูกไม้อะไรอย่างที่คุณย่าคิด” นิสรีนย้ำ ดวงตาแข็งกร้าวขณะประกาศ “แต่นีซบอกเลิกพี่คุปต์จริงๆ เลิกแบบที่ไม่คิดจะข้องเกี่ยวกันอีก”
เพื่อหลีกเลี่ยงชะตากรรมนางร้ายที่ต้องตายอย่างอนาถ อยู่ให้ห่างจากพระนางของเกมกุหลาบได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี
“แต่พี่ไม่เลิก ไม่มีวันเลิกด้วย” คนโดนบอกเลิกหันกลับไปปฏิเสธเสียงแข็ง ดวงหน้าหล่อเหลามีเค้าโครงแบบชาวตะวันตกจากมารดาเลื่อนเข้าไปใกล้วงหน้างดงาม “ชาตินี้ทั้งชาตินีซกับพี่ต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดนั่นแหละ”
“พี่คุปต์!” หญิงสาวกรีดร้องเรียกชื่ออดีตคนรักเสียงแหลมอย่างไม่เกรงใจผู้ใหญ่อย่างคุณศจีอีกต่อไป ดวงตาสีน้ำตาลวาวรื้นทั้งสับสนทั้งโกรธเกรี้ยว “พี่คุปต์จะเอายังไงกันแน่! ตอนนีซอยากแต่งงานด้วย พี่คุปต์ก็เอาแต่ปฏิเสธ เอาแต่เลื่อนไปเรื่อยๆ แต่พอนีซไม่เอาแล้ว ไม่อยากยุ่งกับพี่อีกแล้ว พี่ก็มาทำแบบนี้ แกล้งกันแบบนี้พี่คุปต์สนุกนักหรือไง”
“ใครว่าพี่สนุก!” อัตรคุปต์ขึ้นเสียงกลับ แต่เมื่อเห็นร่างระหงสั่นไหว ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาก็ลดเสียงให้เบาลง “พี่ไม่สนุกเลยสักนิดที่ถูกนีซบอกเลิกเพราะเหตุผลบ้าๆ นั่น นีซคิดว่าจะมีใครหน้าไหนมันดีใจที่ถูกคนรักบอกเลิกหรือไง”
ชายหนุ่มเสยผมด้วยท่าทางหงุดหงิด ไม่รู้เลยว่าทั้งคำพูดและท่าทางของเขากำลังทำให้หัวใจคนฟังไหวหวั่นขนาดไหน
เขา…คำพูดของเขา ท่าทางของเขา…กำลังให้ความหวังเธอ…
…ว่าไม่ใช่แค่เธอ…ที่รักเขา
ทว่าเมื่อนึกถึงท่าทีตลอดสิบปีของอัตรคุปต์ นึกถึง ‘ความจริง’ ที่ถูกลิขิตไว้ของเขาและเธอ นิสรีนก็จำต้องดึงสติและฉุดรั้งหัวใจตัวเองกลับมา หญิงสาวชักสีหน้าโกรธเกรี้ยวทั้งที่แววตาเจ็บร้าว
“พี่คุปต์อย่ามาอยากเอาชนะกับเรื่องนี้ได้มั้ย!” นิสรีนถอนหายใจ เธอยกมือขึ้นลูบใบหน้า พยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้เย็นกว่าเดิมแล้วเงยหน้าขึ้นมาคุยกับเขาดีๆ อีกครั้ง “ตอนนี้พี่คุปต์อาจจะแค่รู้สึกเสียหน้า เสียอีโก้ที่อยู่ดีๆ ผู้หญิงที่เคยตามตื๊อพี่มาตลอดเป็นฝ่ายบอกเลิก แต่พี่คุปต์ก็รู้ว่าระหว่างเรามันคืออะไร เป็นแบบไหน ดังนั้น…เราอย่ามาเสียเวลากันอยู่แบบนี้เลย”
ปล่อยเธอไปตั้งแต่ตอนที่ยังปล่อยได้ อย่าดึงรั้งนางร้ายไว้กับตัวแบบนี้
นั่นคือข้อความที่นิสรีนพยายามจะสื่อให้เขารับรู้
ทว่าอัตรคุปต์ก็ยังคงเป็นอัตรคุปต์อยู่วันยังค่ำ เป็นพระเอกผู้ถูกสร้างขึ้นมาให้สมบูรณ์พร้อมในทุกๆ เรื่อง ยกเว้นนิสัยเอาแต่ใจและเผด็จการอย่างร้ายกาจ เพราะเขาไม่ฟังเธอเลยสักนิด ซ้ำดวงตาสีเข้มคู่นั้นยังมองเธอด้วยแววตาแห่งความผิดหวัง
“นีซคิดว่างั้นเหรอ” น้ำเสียงของชายหนุ่มแหบแห้งลง เช่นเดียวกับประกายตาซึ่งเคยสว่างไสวในหน่วยตาคมค่อยๆ อ่อนแสง “นีซคิดว่าพี่แค่อยากเอาชนะนีซงั้นเหรอ แค่กลัวเสียหน้าถึงขนาดจะยอมผูกมัดตัวเองไว้กับนีซเลยหรือยังไง เฮอะ” เขาแค่นหัวเราะ ศีรษะได้รูปโคลงไปมา ริมฝีปากหนาสีแดงจัดพึมพำเสียงเบา ทว่ากลับชัดเจนในโสตประสาทคนฟัง
“ถ้าไม่ใช่เพราะรัก…พี่จะไม่มีวันยื้อนีซไว้เด็ดขาด”
บทที่ 3 คำขอโทษที่ไม่เคยได้รับ
คำว่ารักที่เคยอยากได้ยินจากปากอัตรคุปต์มาตลอดกลับดังขึ้นในวันที่เธอไม่ต้องการอีกต่อไป ทว่า…เพียงแค่คิดถึงช่วงวินาทีนั้นหัวใจซึ่งยังอัดแน่นไปด้วยความรักที่มีต่อเขาก็เต้นกระหน่ำแรงไม่เลิกรา
“เฮ้อ!”
นิสรีนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ร่างระหงพลิกตัวนอนคว่ำซุกหน้าลงกับหมอนใบโต พยายามบังคับตัวเองให้เลิกคิดถึงเรื่องราวเมื่อหลายวันก่อนเสียที
วันนั้นหลังได้ยินคำบอกรักจากอัตรคุปต์ สิ่งเดียวที่นิสรีนทำได้คือการเม้มปาก คว้ากระเป๋า แล้วผุดลุกเดินออกมาโดยไม่แม้แต่จะหันไปกล่าวลาคุณศจี
ใช่ มันเป็นพฤติกรรมที่ไร้มารยาทมาก นิสรีนรู้ตัวดี แถมยังเคยรู้สึกผิดคิดอยากไปขอโทษด้วย แต่สุดท้ายหญิงสาวที่รู้อยู่แก่ใจว่าย่าของอดีตคนรักไม่มีวันชอบใจในตัวเธอก็ตัดสินใจจะปล่อยผ่านมันไป เธอไม่จำเป็นต้องพยายามทำในสิ่งที่เปล่าประโยชน์
อีกไม่นานนางเอกตัวจริงก็จะปรากฏตัวแล้ว กุหลาบชมพูแสนอ่อนหวานที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากคุณศจีเสียจนคนที่เคยเอาแต่คัดค้านการเกี่ยวดองระหว่างสองตระกูลมาตลอดเป็นฝ่ายเจ้ากี้เจ้าการรีบจัดงานแต่งงานให้แทบไม่ทัน
ในเมื่อคุณย่าไม่มีวันชอบหรือมองเธอในแง่ดีขึ้นมาได้ และเธอก็ไม่ได้คิดอยากฝากตัวเป็นหลานสะใภ้ของท่านอีกต่อไป แตกหักกันไปเลยก็คงไม่เลวนัก
นิสรีนปลอบใจตัวเองแบบนั้น ทว่าขณะที่เธอกำลังนอนแผ่หลาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ประตูห้องก็ถูกเคาะด้วยน้ำหนักมืออันคุ้นชิน
ก๊อกๆ
“คุณนีซตื่นหรือยังคะ”
เป็นคำถามแรกของวันที่นิสรีนต้องได้ยินจากปากของพิกุล แม้พี่เลี้ยงจะแอบแนบหูกับบานประตูเพื่อสำรวจความเคลื่อนไหวภายในห้องจนแน่ใจว่าเธอตื่นแล้ว แต่หล่อนก็มักจะเอ่ยปากถามอีกครั้งอยู่เสมอ
ริมฝีปากรูปกระจับหยักยิ้มหยัน ก้อนเนื้อในอกปวดหนึบด้วยความรู้สึกผิด
ที่ต้องถามย้ำเพราะมีอยู่หลายครั้งที่เธอตื่นนอนแล้วแต่ยังไม่มีอารมณ์จะเจอหน้าใคร พิกุลผู้น่าสงสารจึงโดนหมอนบ้าง หนังสือบ้างขว้างใส่อยู่เสมอ
“เธอนี่มันแย่จริงๆ นีซ” หญิงสาวบริภาษตัวเองเสียงเบา
ทั้งที่ในโลกแห่งนิยายนี้ พิกุลเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่ดีต่อนางร้ายอย่างเธอด้วยความจริงใจจนวาระสุดท้ายแท้ๆ
เพราะตระหนักได้ถึงความจริงในข้อนั้น นับตั้งแต่รู้เรื่องนิสรีนจึงพยายามทำตัวดีกับพิกุลมากขึ้น ทว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘สันดาน’ ไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนกันได้ในเวลาเดือนสองเดือน ดังนั้นจึงมีหลายครั้งที่เธอเผลอขึ้นเสียงใส่ พูดไม่ดีด้วย และเอาความหงุดหงิดไปลงกับพี่เลี้ยงคนสนิท
“นีซตื่นแล้ว”
ร่างระหงซึ่งยังอยู่ในชุดนอนตัวบางยื่นมือไปคว้าเสื้อคลุมเข้าชุดมาสวมทับ ตอนนั้นเองประตูห้องบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก หญิงวัยสี่สิบปลายค่อยๆ ก้าวเข้ามาพลางสังเกตสีหน้าของเจ้านายด้วยความระมัดระวัง พอไม่เห็นร่องรอยหงุดหงิดบนวงหน้าสวย หล่อนก็ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา รอยยิ้มอ่อนโยนถูกประดับบนใบหน้า
“คุณนีซคะ หมอพราวมาถึงแล้วค่ะ”
“อื้อ เดี๋ยวนีซลงไป” นิสรีนพยักหน้าตอบรับก่อนจะรีบพูดต่อ “หมายถึง…ไม่เกินสิบห้านาทีนีซจะลงไป”
คำอธิบายเพิ่มเติมทำให้พิกุลชะงักไปครู่หนึ่ง
ปกติคุณนีซไม่เคยบอกว่าจะให้รอนานขนาดไหน
หล่อนจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ‘หมอพราว’ แพทย์ผิวหนังแห่งคลินิกเสริมความงามชื่อดังซึ่งมีหน้าที่ดูแลผิวหน้าของนิสรีนโดยเฉพาะเคยต้องนั่งรออยู่ครึ่งค่อนวันทั้งที่คุณหนูของหล่อนตื่นตั้งนานแล้ว แต่ ‘ขี้เกียจ’ ลงไปทำหน้า ซึ่งถ้าไม่ติดว่าเม็ดเงินที่ได้รับจากอัศมาลย์มากกว่าลูกค้าคลินิกหลายเท่าและนิสรีนก็เหมาคิวไว้ทั้งวัน แพทย์สาวคนนั้นคงด่าทอออกมาตรงๆ แทนการบ่นขมุบขมิบแน่ๆ
“ค่ะ เดี๋ยวพี่ลงไปบอกให้ค่ะ คุณนีซ…จะรับมื้อเช้าก่อนมั้ยคะ”
ถึงสิบโมงกว่าอาจจะสายเกินกว่าเป็นมื้อเช้าสำหรับบ้านอื่น แต่กับคฤหาสน์หลังนี้แล้ว ไม่ว่านิสรีนจะตื่นตอนไหนก็นับเป็นการเริ่มต้นมื้อเช้าได้เหมือนกัน
นิ่งคิดอยู่สักพักนางเอกละครชื่อดังก็ส่ายหน้า
“ไม่อะ กว่านีซจะกินเสร็จอะไรเสร็จ หมอพราวคงต้องรอไปอีกนาน เดี๋ยวนีซอาบน้ำแล้วลงไปเลย”
“งั้นพี่จะเตรียมครัวซองต์กับช็อกโกแลตร้อนให้คุณนีซรองท้องแล้วกันนะคะ”
“อือ”
กุหลาบขาวแห่งอัศมาลย์พยักหน้า ร่างระหงลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ เห็นจากหางตาว่าพี่เลี้ยงกำลังทำหน้าที่เก็บเตียงนอนให้เป็นระเบียบเหมือนทุกวัน
สุดท้ายก็เลตจนได้
นิสรีนถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับนิสัยที่แก้ไม่หายของตัวเอง
ทั้งที่ตั้งใจจะปรับพฤติกรรมใหม่ พยายามเร่งกิจวัตรไม่ให้ ‘พราวฟ้า’ ต้องรอนานนัก แต่สุดท้ายกว่าเธอจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก้าวลงมาจากชั้นบนก็ปาเข้าไปยี่สิบกว่านาทีแล้ว
“เดี๋ยวนี้อยู่ติดบ้านนะเรา”
คำทักทายจาก ‘คุณกมลมาศ’ ผู้เป็นป้าสะใภ้ทำให้นิสรีนชะงัก วงหน้าสวยซีดขาวปราศจากเครื่องสำอางหันไปมองหญิงวัยกลางคนซึ่งกำลังนั่งจิบชาพร้อมเล่นแท็บเลตอยู่ในห้องนั่งเล่น
แม้คุณกมลมาศจะถูกวางตัวให้เป็นแม่เลี้ยงใจยักษ์ของนางเอกอย่างโรสลิน และมีพฤติกรรมหลายอย่างที่ค่อนข้างร้ายกาจจนสามีอย่างคุณราเชนนึกกลัวว่าลูกสาวสุดที่รักจะโดนรังแก แต่สำหรับนิสรีน…นอกจากจะไม่เคยรังแครังคัดอะไรแล้ว ป้าสะใภ้คนนี้ยังค่อนข้างเอ็นดูเธออยู่ไม่น้อย คงเพราะท่านมีลูกไม่ได้และช่วย ‘คุณรสิตา’ เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็กนั่นแหละ
“ช่วงนี้ไม่มีถ่ายละคร นีซก็ต้องอยู่บ้านสิคะ”
“หึ แปลกที่ไม่ไปเฝ้าแฟนเราเอาไว้”
มาดามแห่งอัศมาลย์เอ่ยแซวพลางเหลือบตาขึ้นมองหลานสาว จึงได้เห็นสีหน้าที่ผิดแผกไปแวบหนึ่ง
นิสรีนขยับปาก ลังเลว่าจะบอกป้าสะใภ้ไปตามตรงดีไหมว่าเธอเลิกรากับอัตรคุปต์แล้ว และเป็นอีกครั้งที่อดีตคนรักก้าวเข้ามาได้ตรงจังหวะราวกับถูกจับวาง
“นีซไม่จำเป็นต้องไปหรอกครับ เพราะผมจะเป็นฝ่ายตามมาเฝ้าเอง” มือแข็งแรงโอบรอบเอวคอดซึ่งเป็นผลมาจากการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างหนักของนิสรีน หลังจากหอมแก้มขาวซีดของคนที่ยืนเหวอไปฟอดใหญ่ ชายหนุ่มก็หันไปทักทายคุณกมลมาศ “คุณป้าสวัสดีครับ”
“จ้ะ ลมอะไรหอบมาถึงนี่ล่ะ” คุณกมลมาศหรี่ตามองพฤติกรรมที่แปลกไปของว่าที่หลานเขยอย่างประหลาดใจ
“ลมคิดถึงมั้งครับ” อัตรคุปต์กระตุกยิ้มตอบ “ก็นีซเล่นหายหน้าหายตาไม่ไปหาผมเลยนี่” วงหน้าหล่อเหลาคมสันหันกลับไปมองคนในอ้อมกอด “ไง กลับบ้านเราไม่ถูกแล้วหรือไง”
ชายหนุ่มเอ่ยถึงเพนต์เฮ้าส์สุดหรูบนยอดตึกคอนโดมิเนียมโครงการใจกลางเมืองของ MA Property ซึ่งเป็นที่อยู่ประจำของเขา แต่นิสรีนมักดื้อรั้นเข้าไปพักจนคล้ายจะกลายเป็นเจ้าของร่วม ทว่าหลังกลับจากฉลองครบรอบเจ็ดปีหญิงสาวก็ไม่เคยเหยียบย่างกลับไปอีกเลย ขนาดจะเอาของยังใช้ให้พี่เลี้ยงคนสนิทเข้าไปเอามาให้
“บ้านนีซอยู่ที่นี่” แม้จะใจสั่นไปกับคำว่า ‘บ้านเรา’ ของเขา ทว่าหญิงสาวก็เลือกที่จะเมินเฉยและดึงมือหนาออกจากเอว ร่างระหงยกแขนขึ้นกอดอก ถอยห่างจากร่างสูงใหญ่เพื่อเว้นระยะห่างระหว่างกัน นัยน์ตาสวยเฉี่ยวช้อนขึ้นมองอีกฝ่าย “พี่คุปต์มาทำไมอีก นีซว่าเราคุยกันรู้เรื่องไปแล้วนะ”
“รู้เรื่องของเธอกับพี่อาจจะต่างกัน” ชายหนุ่มยักไหล่ “จะไปทำหน้าใช่มั้ย รีบไปเถอะ ป่านนี้หมอคงรอแย่แล้ว”
“อ๊ะ เดี๋ยวสิ…”
ร่างระหงแทบไถลไปกับแรงจับจูงของคนที่อยู่ดีๆ ก็หันมาคว้าแขนไปจับไว้ อัตรคุปต์ผงกศีรษะแทนการบอกลาคุณกมลมาศก่อนจะจูงนิสรีนไปยังห้องสปาที่ปีกซ้ายของคฤหาสน์
“พี่คุปต์! ปล่อยนีซนะ จะทำอะไรเนี่ย”
“ทำไมต้องปล่อยล่ะ พี่ก็ไม่ได้จับแรงหรือเดินเร็วจนนีซตามไม่ทันซะหน่อย” เมื่อเหลือบมองจนแน่ใจว่าคนรักยังอยู่ในสภาพดีพร้อม ไม่ได้เจ็บเพราะแรงจับหรือสับขาตามเขาไม่ทัน ชายหนุ่มก็ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เอ้า เข้าไปเร็ว หมอรอแย่แล้วมั้ง”
พอถึงห้องสปาซึ่งมีแพทย์ผิวหนังประจำตัวนางเอกสาวรออยู่ก่อนแล้ว ท่านรองฯ แห่ง MA Property ก็ยอมปล่อยมืออย่างง่ายดาย ตอนนั้นเองนิสรีนจึงเห็นว่านอกจากพราวฟ้ายังมีช่างทำเล็บเจ้าประจำและคนไม่คุ้นหน้าอีกสองสามคนอยู่ด้วย
“นี่…”
“เล็บเราจะลอกแล้วไม่ใช่หรือไง”
ชายหนุ่มพึมพำ ร่างสูงถอดเบลเซอร์สีครีมตัวใหญ่ พับแขนเสื้อเชิ้ตสีดำขึ้นไปถึงข้อศอก เตรียมตัวขึ้นไปนอนบนเตียงสำหรับทำหน้าอย่างไม่สนใจกับท่าทีงุนงงของหญิงสาว
“พี่คุปต์! ทำอะไรเนี่ย” พอตั้งสติได้นิสรีนก็รีบเดินไปดึงแขนคนที่ทิ้งร่างลงบนเตียงให้ลุกขึ้นมา วงหน้างดงามปรากฏความไม่พอใจอย่างที่เธอไม่เคยทำใส่อัตรคุปต์มาก่อน
“ก็จะทำหน้าไง นี่…” ปลายนิ้วชี้ตรงแถวคาง “เห็นมั้ยว่าพี่สิวขึ้นเหมือนกัน เลยให้พาหมอมาเพิ่มอีกคน จะได้กดสิวสปาหน้าเติมวิตามินอะไรไปพร้อมกันเลย”
“…”
นับวันนิสรีนยิ่งไม่เข้าใจการกระทำของอัตรคุปต์
ผู้ชายที่เคยทำสีหน้าเบื่อหน่ายและปฏิเสธทุกครั้งเวลาที่เธอออดอ้อนชวนให้ไปนั่งทำเล็บเป็นเพื่อน ผู้ชายที่เคยกล่าวหาว่าการเรียกแพทย์ผิวหนังมาดูแลผิวหน้าถึงบ้านเป็นการกระทำอันไร้สาระ เพราะเขาเกิดมามีเบ้าหน้าและสุขภาพผิวดีจนแม้แต่แอลกอฮอล์หรือการอดนอนก็ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาหม่นหมองไม่ได้ มาวันนี้เขาคนนั้นกลับมายึดเตียงประจำของคุณกมลมาศนอนให้แพทย์ผิวหนังจิ้มเข็มลงบนใบหน้า แถมหลังจากนั้นยังนั่งเล่นเกมรอเธอทำเล็บอย่างใจเย็นโดยไม่ปริปากบ่นเลยสักคำ
แปลก
พฤติกรรมของอัตรคุปต์แปลกไปมากจนน่ากลัว
แม้ภายนอกจะดูนิ่งเฉย ทว่าในหัวนิสรีนกลับเอาแต่ครุ่นคิดหาเหตุผลของการกระทำแปลกๆ ของอัตรคุปต์อยู่ตลอด และเวลาเธอเผลอไผลเมื่อไร…ก็มักจะหวนกลับไปนึกถึงประโยคนั้นของเขา
‘ถ้าไม่ใช่เพราะรัก…พี่จะไม่มีวันยื้อนีซไว้เด็ดขาด’
รัก? รักเหรอ ที่เขาทำตัวแปลกๆ แบบนี้เพราะว่า…รักเธอ?
“เฮอะ” หญิงสาวเผลอแค่นหัวเราะออกมา ดวงตาคู่สวยอาบไล้ด้วยความเย็นชาระคนเจ็บร้าว
ถ้าอัตรคุปต์รักเธอจริงๆ มันก็คงเป็นตลกร้ายที่สุดในโลก
ตอนเธอรักเขาแทบตาย ชายหนุ่มกลับไม่เห็นค่า ทำตัวเย็นชาใส่ราวกับว่าการคบหากันนั้นเกิดขึ้นและตั้งอยู่บนผลประโยชน์ระหว่างสองตระกูลเพียงอย่างเดียว แต่มาตอนนี้ที่นิสรีนรู้แล้วว่าเขาไม่รักเธอ เพราะเธอไม่ใช่คนที่ถูกกำหนดมาให้เขารัก อีกฝ่ายกลับมาบอกว่ารักเธอเนี่ยนะ? เรื่องที่พวกเธอรับรู้มามันควรจะเป็นเหตุผลที่สนับสนุนให้อัตรคุปต์ไปจากเธอเร็วกว่าเดิมสิ ไม่ใช่มาทำตัวเหมือน ‘คลั่งรัก’ เธอมากแบบนี้
ก็พอจำได้อยู่ว่าเขาถูกวางคาแร็กเตอร์มาให้เป็นผู้ชายคลั่งรัก แต่คนที่เขาจะแสดงความคลั่งรักใส่มันต้องเป็นยายนางเอกที่ยังไม่โผล่หัวมาสิ ไม่ใช่นางร้ายอย่างเธอคนนี้
“เสร็จแล้วค่ะ”
ช่างทำเล็บคนโปรดที่รับรู้ได้ถึงสภาพอารมณ์อันไม่ปกตินักของนางเอกสาวลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดงานในวันนี้ก็จบลงโดยที่หล่อนไม่ต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ของอีกฝ่าย
“อ้อ” เมื่อเจ้าหญิงกุหลาบขาวรู้สึกตัวก็ชักมือกลับมาแล้วมองสำรวจลวดลายบนเล็บเรียวสวย ก่อนพยักหน้าหงึกหงักด้วยท่าทางพึงพอใจ
“ถ้าคุณนีซไม่มีอะไรที่อยากให้แก้แล้ว พี่กลับเลยนะคะ”
พอแน่ใจแล้วว่าลูกค้าวีไอพีกระเป๋าหนักพอใจกับผลงาน สาวข้ามเพศร่างใหญ่ก็รีบกระวีกระวาดเก็บอุปกรณ์อย่างรวดเร็วโดยไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมอง ‘อาหารตา’ ชั้นเลิศซึ่งนั่งรออยู่บนโซฟาตัวใหญ่
ก็นะ ชื่อเสียงเรื่องความ ‘หวงหลัว’ ของแม่กุหลาบขาวนี่โด่งดังจะตายไป ใครมองไฮโซหนุ่มหน่อยเป็นไม่ได้ สถานเบา ‘เจ้าที่’ ก็แค่ถลึงตาใส่ ส่วนสถานหนัก…ได้ข่าวว่าจากนางเอกไฮโซก็เคยแปลงร่างเป็นสก๊อยมือตบมาแล้ว
แต่อย่างว่า โชคดีที่เกิดมาเงินหนา เรื่องพวกนั้นจึงไม่เคยเป็นข่าว บรรดาแฟนคลับเลยยังคงหน้ามืดตามัวมองว่าเป็นนางฟ้านางสวรรค์เหมือนเดิม
“ทำเล็บเสร็จแล้วใช่มั้ย” อัตรคุปต์ที่รอคนรักทำเล็บจนเกือบหลับไปรอบหนึ่งหาวหวอด ยัดสมาร์ตโฟนรุ่นท็อปลงกระเป๋ากางเกง “ไปแต่งตัวสิ”
“คะ?” นิสรีนอุทานเสียงแหลม ดวงตาสวยเฉี่ยวละจากเล็บมือไปยังวงหน้าหล่อเหลาโดดเด่นจนพระเอกหลายคนยังชิดซ้าย “แต่งตัวไปไหน”
“กินข้าวกันไง”
“ฮะ?”
“วันนี้วันเสาร์” อัตรคุปต์ว่า พอเห็นหัวคิ้วอ่อนจางขมวดมุ่นก็เอ่ยย้ำ “เสาร์สุดท้ายของเดือน นีซเป็นคนพูดเองว่าเสาร์-อาทิตย์สุดท้ายของเดือนเป็นวันของ ‘เรา’ ” ชายหนุ่มเน้นเสียงหนักตรงคำสุดท้าย
นัยน์ตาสวยเฉี่ยวไหววูบสะท้อนความรู้สึกบางอย่าง ก่อนจะเบือนหน้าหนีให้พ้นดวงตาคม นิสรีนสูดหายใจลึก มือเรียวยกขึ้นลูบใบหน้าเพื่อขับไล่ความเจ็บร้าวจากเรื่องราวในอดีตออกไป
“นีซจำได้” น้ำเสียงแข็งห้วนอยู่เป็นนิจสั่นเครือ พอแน่ใจว่าควบคุมความรู้สึกได้ดีประมาณหนึ่งเธอก็หันกลับมาสบตาเขาอีกครั้ง “นีซจำได้ดีว่าทุกสุดสัปดาห์สิ้นเดือนมันคือวันของเรา” หญิงสาวแค่นหัวเราะ “แต่ไม่คิดว่าพี่คุปต์จะยังจำได้ก็เท่านั้น”
เพราะตลอดมาคนที่เรียกร้องและพยายามหาเวลาว่างมาใช้ร่วมกันมีแค่เธออยู่ฝ่ายเดียว
ทั้งวงการต่างรู้ดีว่าเสาร์-อาทิตย์สิ้นเดือน ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายหรืองานใหญ่ที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ นางเอกสาวเจ้าของฉายาเจ้าหญิงกุหลาบขาวจะไม่รับงานเด็ดขาด ครั้งหนึ่งผู้จัดการส่วนตัวอย่างเจนสุดาเคยบ่นว่านิสรีนสูญเสียรายได้จากการปฏิเสธงานเพราะเหตุผลนี้ไปไม่รู้กี่ล้านแล้ว
แต่คุณหนูไฮโซที่คาบช้อนทองฝังเพชรมาเกิดกลับยักไหล่ ไม่สนใจเงินจำนวนนั้นเลยสักนิด
ก็เงินพวกนั้นจะไปเทียบกับการใช้เวลาอยู่ร่วมกับพี่คุปต์ของเธอได้อย่างไร
ทั้งที่หญิงสาวคิดแบบนั้น แต่สำหรับอัตรคุปต์แล้ว…‘ทุกสิ่ง’ ล้วนสำคัญกว่าเธอทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะงาน แข่งรถ หรือปาร์ตี้กับเพื่อน เขาเลือกทุกอย่างแล้วหันกลับมาปฏิเสธนัดหมายของ ‘เรา’ ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เสาร์-อาทิตย์สิ้นเดือนมันก็มีอยู่ทุกเดือนนั่นแหละ แต่งานนี้มันไม่ได้มีทุกเดือนสักหน่อย เดือนหน้าค่อยอยู่ด้วยกันก็ได้นี่’
ความทรงจำเหล่านั้นไม่ได้หวนกลับมาแค่ในหัวของนิสรีน เพราะอัตรคุปต์เองก็ระลึกได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาคมดุอาบไล้ไปด้วยความรู้สึกผิด ชายหนุ่มคว้ามือเรียวซึ่งเล็กจนเขาสามารถใช้มือเดียวรวบสองมือของเธอได้มากุมไว้ ขณะที่อีกข้างก็เลื่อนไปสัมผัสผิวแก้มขาวซีด ผู้นำแห่งมหัสวัตกัดริมฝีปาก ท้ายที่สุดคำพูดนั้นก็ออกจากกลีบปากสีแดงจัด
“…ขอโทษ”
“คะ?” นิสรีนเผลออุทานเสียงสูง ดวงตาซึ่งเมื่อครู่ยังฉาบทับด้วยความเจ็บปวดผิดหวังถูกแทนที่ด้วยความตกใจระคนสับสน หญิงสาวกลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด “เมื่อกี้…พี่คุปต์พูดว่าอะไรนะ”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ชายหนุ่มหลับตาลงจนมองเห็นแพขนตายาว หลังทบทวนดีแล้วก็ลืมตาขึ้น ใช้ดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างจริงใจจับจ้องไปยังนัยน์ตาของคนรัก
“พี่บอกว่าขอโทษ”
เขา…ขอโทษ…เธอ?
หัวใจของนิสรีนเต้นระรัวแรงขึ้น ความตื่นเต้นระคนยินดีไหลวนอยู่ในอก
หนึ่งในนิสัยที่เหมือนกันราวกับถอดออกมาของพระเอกและนางร้ายผู้คาบช้อนทองฝังเพชรมาเกิดอย่างเขาและเธอก็คือการแทบจะไม่เคยขอโทษใครเลย เพราะต่างไม่ค่อยรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิด หรือต่อให้รู้ว่าผิด…ก็เย่อหยิ่งปากหนักรักศักดิ์ศรีจนไม่คิดจะเอ่ยคำขอโทษออกไป
ทว่าคนปากหนักทุกคนย่อมมีคนพิเศษที่ได้รับข้อยกเว้นนั้น สำหรับอัตรคุปต์…คนคนนั้นคงเป็นนางเอกตัวจริงของเขา แต่สำหรับนางร้ายผู้คลั่งรักอย่างนิสรีน…คนเดียวที่เธอยอมเอ่ยปากขอโทษไม่ว่าตัวเองจะผิด ไม่ผิด ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด หรือแม้แต่เขาเป็นฝ่ายผิด…เธอก็พร้อมจะเอ่ยปากขอโทษก่อนถ้าคนคนนั้นคืออัตรคุปต์
ตลอดมามันเป็นแบบนั้น กระทั่งวันครบรอบหกปีที่อัตรคุปต์ปล่อยให้เธอรอที่ร้านอาหารหรูอยู่ครึ่งค่อนคืนเพราะเขาลืม…ชายหนุ่มยังไม่แม้แต่จะเอ่ยปากขอโทษเธอสักคำ มีเพียงกำไลข้อมือคาร์เทียร์มูลค่าครึ่งล้านที่ถูกส่งมาเพื่อบอกให้รู้ว่าเขาเป็นฝ่ายผิด
มาวันนี้คนที่ไม่เคยขอโทษเธอเลยสักครั้งกำลังขอโทษเธองั้นหรือ
หยดน้ำตาร่วงหล่นจากหน่วยตาเฉี่ยว นั่นทำให้คนที่เฝ้ามองอยู่หัวใจไหววูบ วงหน้าหล่อเหลาซีดลงไปหนึ่งเฉดพลางรีบถามด้วยสีหน้าร้อนรน
“นีซ…เป็นอะไร พี่…ทำอะไรผิดรึเปล่า” คนที่เปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจและไม่เคยคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดมาก่อนตั้งคำถามด้วยความระมัดระวังเมื่ออยู่ดีๆ คนรักก็ร้องไห้ออกมา
“พี่คุปต์…ขอโทษนีซงั้นเหรอ” หญิงสาวเม้มปาก พยายามหยุดการร้องไห้อันน่าอับอายนี้ลง ดวงตาซึ่งยังพร่ามัวจับจ้องไปยังอดีตคนรัก “พี่คุปต์รู้มั้ยว่านี่คือคำขอโทษแรกที่นีซได้จากพี่”
ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ดวงหน้าหล่อเหลาแหงนขึ้นมองเพดานเล่นระดับเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกที่ตีขึ้นมาในอก ก่อนจะรวบร่างระหงเข้ามากอดไว้โดยไม่สนใจว่าเธอจะต่อต้านขัดขืนหรือไม่ อัตรคุปต์โน้มตัวลงกอดเธอไว้ กระซิบข้างใบหูของคนที่เริ่มข่มเสียงสะอื้นและน้ำตาไว้ไม่อยู่
“พี่ขอโทษ ขอโทษที่ตลอดมาไม่เคยพูดคำนี้กับนีซเลย ขอโทษที่ทำเหมือนตัวเองไม่เคยทำอะไรผิด ขอโทษที่เคยไม่ใส่ใจนีซ เย็นชากับนีซ พี่…ขอโทษจริงๆ”
ยิ่งเขาพร่ำคำขอโทษออกมามากเท่าไร คนในอ้อมแขนก็ยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นมากเท่านั้น
นิสรีนอาจเคยน้ำตาคลอ เคยร้องไห้ต่อหน้าอัตรคุปต์มาบ้าง ซึ่งหลายครั้งชายหนุ่มมองออกว่านักแสดงฝีมือดีอย่างเธอกำลังเล่นละครเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา
แต่ไม่เคยมีครั้งไหน…ที่คนรักจะกำแขนเสื้อเขาไว้แน่นแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจแบบนี้
และนิสรีนคงไม่รู้…ว่านั่นทำให้หัวใจเขาแทบจะขาดตามไปด้วยจนต้องวอนขอ
“นีซ อย่าร้องไห้เลยนะ พี่…จะไม่ไหวแล้วจริงๆ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.