“ไงล่ะมึง อยากห่างกันสักพักนักนี่ ได้ห่างสมใจอยากเลยมั้ย” ริมฝีปากหนาแสยะยิ้มพูดแดกดันตัวเอง มือใหญ่ข้างที่ยังสวมแหวนหมั้นถูไถหน้าผาก พ่นลมหายใจอุ่นร้อนออกมาหนักๆ กว่าจะนึกออกว่าภายในห้องทำงานไม่ได้มีแค่ตนเพียงลำพังก็ตอนที่สายตาคู่หนึ่งมองตรงมาอย่างแรงกล้า
“มองอะไร” รองประธานฯ แห่ง MA Property ถลึงตาใส่คนที่นอนตัวยืดตัวยาวอยู่บนโซฟาหนังสีดำอย่างไม่เกรงใจเจ้าของห้อง แสงเหนือจึงไหวไหล่พลางถามกลับด้วยสีหน้ากวนๆ
“ให้ตอบจริงดิ”
เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วอัตรคุปต์ก็นิ่วหน้า ตัดสินใจเมินเพื่อนสนิทผู้ที่ทำตัวว่างเสียยิ่งกว่าว่าง จนมีเวลาบึ่งรถมาป่วนประสาทกันถึงที่นี่
“โรงแรมเจ๊งแล้วหรือไง”
ประโยคที่แยกไม่ออกว่าเป็นคำถามหรือคำแช่ง ทำให้ทายาทเจ้าของโรงแรมชื่อดังหัวเราะหึ ร่างสูงในเสื้อแจ็กเก็ตหนังสีแดงสดสะท้านสายตายันตัวลุกขึ้นนั่ง เมื่อพิจารณาความหงุดหงิดภายใต้สีหน้าเย็นชาของเพื่อน ริมฝีปากได้รูปจึงคลี่ยิ้มที่ล่อลวงใจสาวมานักต่อนักพลางเอ่ย
“ปากหมาสมควรให้น้องนีซทิ้งจริงๆ”
เท่านั้นเองแฟ้มที่โยนทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นเพื่อนรักเพื่อนร้ายตรงโซฟา ‘แสงเหนือ’ หลบวูบได้เฉียดฉิว หนุ่มหล่อจอมแพรวพราวหัวเราะร่วน
“ว้าววว ระวังหน่อยสิคะ ถ้าโดนหน้าหล่อๆ ของพี่เรย์เข้าจะทำยังไง”
“ก็ส่งไปเย็บหน้าที่โรง’บาลน่ะสิ”
คนตอบไม่ใช่อัตรคุปต์ แต่เป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เดินยิ้มละมุนเข้ามา เพียงแค่เห็นผู้มาใหม่เจ้าของห้องก็พ่นลมหายใจหนักๆ อีกรอบ
ชายหนุ่มที่เมื่อครู่ยอมขยับลุกขึ้นยืนเพื่อปาแฟ้มใส่เพื่อนทิ้งตัวลงนั่งพิงเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่อีกครั้ง ก่อนเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” อัตรคุปต์ทักคนมาใหม่ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่คุยกันอีกฝ่ายยังทำงานอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้
“วะ ไอ้นี่ไม่เคยสนใจเพื่อนฝูงเลย ไอ้ชายน์มันกลับมาจะครบวีกแล้วมั้ง เห็นช่วงนี้มันมีเวลาเบรก หม่อมแม่เลยเรียกตัวลูกชายสุดที่รักกลับมาเนี่ย”
ถามแฝดคนน้อง แต่คนที่เสนอหน้ามาตอบพร้อมให้ข้อมูลเสร็จสรรพกลับเป็นแฝดคนพี่ ‘แสงแรก’ จึงหันไปมองแบบปากยิ้มตาไม่ยิ้ม
“ที่แม่เรียกฉันกลับมาก็เพราะนายไม่ยอมไปทำงานไม่ใช่หรือไง”
“โหย ใครว่าพี่เรย์ไม่ทำคะ ไม่เชื่อน้องชายน์สุดที่รักลองไปถามที่โรงแรมได้เลย…”
“ว่ามึงไม่เคยไปทำ เพราะเอาเวลามากวนตีนกูอยู่ที่นี่แทน” เจ้าของห้องทำงานพูดแทรกขึ้น มองฝาแฝดสุริยฉัตรที่ปรากฏตัวในห้องทำงานเขาอย่างพร้อมเพรียง แล้วก็ถามแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดระคนอ่อนใจ “นี่พวกมึงไม่มีงานมีการทำกันหรือไงวะ”
“ไม่ใช่ไม่มีงาน” คนมาใหม่มีน้ำใจโน้มตัวลงเก็บแฟ้มเอกสารเอาไปวางให้ถึงโต๊ะทำงาน ริมฝีปากหยักแย้มยิ้ม “แต่เขาเรียกใช้เวลาเป็น” ปลายนิ้วชี้เคาะบนหน้าปัดนาฬิกาหลักล้านบนข้อมือซ้าย “เที่ยงแล้วครับ ถึงเวลากินข้าวแล้ว”
“แล้ว?” อัตรคุปต์เลิกคิ้ว สองแขนยกขึ้นกอดอกมองแสงเหนือที่ขยับลุกมายืนข้างคู่แฝด
“ก็เห็นเรย์ว่านายดูเหงาๆ ว้าเหว่ซึมเศร้าเหมือนคนอกหัก ในฐานะเพื่อนที่ดี ฉันเลยเจียดเวลามาชวนไปกินข้าวด้วยกันไง”
“ไอ้ชายน์!” คนอกหักถลึงตาใส่อย่างดุดัน เขาล่ะอยากจะหาอะไรขว้างใส่ใบหน้ายิ้มแย้มของแสงแรกเสียเหลือเกิน
เกลียดนักไอ้หน้ายิ้มๆ ทำตัวเหมือนคนดีแต่กัดเจ็บไม่แพ้ไอ้เรย์น่ะ
“ไอ้แฝดนรก”
“โห เพื่อนคุปต์ พูดงี้ได้ไงคะ หัวใจพี่เรย์ล่ะเจ็บร้าว” แสงเหนือแสร้งยกมือขึ้นกุมหน้าอก โอดครวญด้วยท่าทางเจ็บปวดก่อนจะยืดตัวยักไหล่ทับถมเพื่อนด้วยสีหน้าเบิกบานผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ “แต่คงไม่เท่ามึงหรอกเนอะ ‘โดน-ทิ้ง’ มานี่นา”
“ไอ้เชี่ยเรย์!” พอโดนตอกย้ำมากๆ เข้าอัตรคุปต์ก็ชักทนไม่ไหว ร่างสูงใหญ่ถลาจะไปซัดหน้าเพื่อนรักเพื่อนร้ายสักทีสองที ร้อนถึงกรรมการห้ามศึกที่รับจ็อบบ่อยจนแทบจะเป็นมืออาชีพอย่างแสงแรกต้องเข้าไปห้าม
“พอๆ เลิกตีกันได้แล้ว จะขึ้นเลขสามกันแล้วยังตีกันอยู่ได้”
“ถ้าพวกกูจะสามสิบ มึงก็สามสิบนะคะเผื่อลืม” แสงเหนือรีบย้ำเตือนคู่แฝด ซึ่งแสงแรกก็เพียงแค่ไหวไหล่
“นายมั้ยเรย์ที่ลืม ฉันเกิดคนละปีกับพวกนาย”
เป็นเรื่องจริงอันน่าเจ็บใจจนแสงเหนือเถียงไม่ออก เพราะแม้เขากับแสงแรกจะเป็นฝาแฝดที่เกิดห่างกันเพียงสิบเจ็ดนาที…แต่สิบเจ็ดนาทีที่ว่าดันกลายเป็นคืนข้ามปี ดังนั้นตามกฎหมายแล้วน้องชายฝาแฝดไข่คนละใบจึงเกิดคนละปีกับเขาและอัตรคุปต์
มองฝาแฝดที่รักกันดีตีกันทุกวันแล้วอัตรคุปต์ก็ถอนหายใจ คลึงขมับอีกรอบ
“พวกมึงมาทำไมนะ”
“กวนตีนมึง”
“ชวนกินข้าว”
คำตอบที่ออกมาพร้อมกันแต่ความหมายห่างกันคนละโยชน์ทำให้ชายหนุ่มมองใบหน้าคล้ายคลึงของคู่แฝดสลับไปมา สุดท้ายก็อดพูดประโยคเดิมที่พูดมาหลายครั้งหลายคราไม่ได้
“ทำไมแกไม่เอาสายรกรัดคอไอ้เรย์ให้ตายตั้งแต่ในท้องวะชายน์”
แสงแรกหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นที่สุด
“ฉันก็ถามตัวเองอยู่ทุกวันเหมือนกัน”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.