everY
ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 4 #นิยายวาย
บทที่ 4
เช้าตรู่วันถัดมา หลังคนทั้งสองฝังเจ้าอาวาสกับหลวงจีนน้อยทั้งสองอย่างลวกๆ ก็เข้าไปในเมือง
หลังผ่านเรื่องเมื่อคืน เฉินกงประดุจวิหคตื่นเกาทัณฑ์ ไม่อยากอยู่ในเมืองนานนัก มองเห็นป้ายของสาขาย่อยพรรคลิ่วเหออยู่ไกลๆ ก็ไม่ยอมเดินหน้าเข้าไป คิดเพียงดึงเสิ่นเฉียวไปให้เร็วสักหน่อย เสิ่นเฉียวพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่กล่าวกับเขาว่า “คงไม่มีคนสนใจพวกเราหรอก พวกเขาไม่รู้ชื่อแซ่ของพวกเราด้วยซ้ำ มีแต่จะไปหาคนอื่น เจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไป”
เพิ่งขาดคำ บนขอบกำแพงมีคนหัวเราะออกมาพลางกล่าว “ข้าคิดว่าความกังวลของเขามีความจำเป็น เพียงแต่จะว่าไปแล้ว เมื่อคืนแสงไฟมืดมัว บ่าวเองก็มิได้เห็นว่าคุณชายจะหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ เกือบพลาดไปแล้ว!”
สุ้มเสียงอ่อนหวาน สำคัญที่สุดคือฟังแล้วคุ้นเคยอย่างยิ่ง
เฉินกงรู้สึกว่าสุ้มเสียงคุ้นหู ทั่วร่างสั่นสะท้าน เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงมองเห็นดรุณีนางหนึ่งนั่งอยู่บนกำแพง ชุดแดงผมดำ มวยผมด้วยห่วงทอง กำลังยิ้มหวานให้พวกเขา ทั่วทั้งร่างกายนอกจากสุ้มเสียงแล้ว ไม่มีสักจุดสอดคล้องกับหลวงจีนน้อยเมื่อคืน
สตรีรูปงามเช่นนี้ เปลี่ยนเป็นยามปกติเดินอยู่บนถนนใหญ่ เฉินกงต้องเพ่งมองหลายหนอย่างแน่นอน แต่ยามนี้เขานึกถึงสภาพตายอนาถของหลวงจีนทั้งสามนั้น ก็รู้สึกหนาวเย็นเป็นพักๆ ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะมองดูอีกสักแวบเดียว
ไป๋หรงกระหยิ่มยิ้มย่องกล่าว “เหตุใดตกใจเช่นนี้ สหายเก่าพบพานอีกครา ไม่ควรดีใจหรือ ข้ามาหาพวกท่านโดยเฉพาะ!”
เสิ่นเฉียวมองไม่เห็น ได้แต่ประสานมือไปยังจุดกำเนิดสุ้มเสียง “ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้หาพวกเรามีเรื่องอันใด”
ไป๋หรงบุ้ยปาก “แม่นางท่านนี้อะไรกัน เรียกได้แปลกหูเช่นนี้ ข้าแซ่ไป๋ เรียกว่าไป๋หรง นี่คืออีกชื่อหนึ่งของดอกหมู่ตัน ท่านเรียกข้าว่าหมู่ตันน้อยก็ได้!”
เรือนร่างของนางขยับพร้อมเสียงกล่าวคำ พุ่งไปเบื้องหน้าคนทั้งสอง
ไป๋หรงดูแล้วมีความสนใจต่อเสิ่นเฉียวมากกว่า ถึงขั้นยื่นมือออกไปหมายลูบใบหน้าของเขา
ขณะปลายนิ้วเกือบแตะสัมผัสถึง เสิ่นเฉียวคล้ายรู้สึกได้แล้ว ถอยหลังสองก้าว
ไป๋หรงหัวเราะคิกคัก ไม่อ้อมค้อมแล้วกล่าว “เมื่อคืนพวกท่านทั้งสอง คนหนึ่งอ่านชิ้นส่วนคัมภีร์ คนหนึ่งฟังอยู่ด้านข้างตั้งแต่ต้นจนจบ คงจำเนื้อหาได้ไม่น้อยเป็นแน่ ตอนนี้ข้าจะเขียนเนื้อหาชิ้นส่วนคัมภีร์ทั้งหมด แต่ด้านในมีบางคำไม่กระจ่างนัก ต้องการความช่วยเหลือจากพวกท่านอย่างมาก ส่วนค่าตอบแทน หลังเสร็จงาน ต้องการเงินตราหรือว่าสาวงาม ย่อมสมปรารถนาทั้งหมด”
คำพูดประโยคสุดท้ายลากน้ำเสียงยาว ออดอ้อนแฝงเลศนัย เพียงพอที่จะทำให้บุรุษทุกคนต้องจิตใจหวั่นไหว
เฉินกงรู้สึกเพียงหูร้อนผ่าว เกือบจะตอบรับ แต่มือของเสิ่นเฉียวที่พาดอยู่บนไหล่ของเขาพลันออกแรงกดเล็กน้อย เขาก็ได้สติกลับมา รีบส่ายหน้าจนเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ข้าไม่รู้หนังสือ!”
เสิ่นเฉียวเองก็กล่าว “ท่านหาผิดคนแล้ว เขาไม่รู้หนังสือ ข้าเป็นคนตาบอด เมื่อคืนก็เพียงแค่อ่านตามหนังสือ ไม่เข้าใจความหมาย อ่านจบก็แล้วไป เกรงว่าจะช่วยท่านมิได้”
ไป๋หรงยิ้มหวานๆ กล่าว “ตอนนี้พวกท่านจิตใจว้าวุ่น ย่อมนึกไม่ออก รอหลังติดตามข้ากลับไป แล้วลองคิดดูดีๆ ไม่แน่ว่าอาจนึกออกมากขึ้น บ่าวหน้าตาน่ามองเช่นนี้ พวกท่านกลั้นใจปฏิเสธได้หรือ”
กล่าวจบก็ไม่รอพวกเสิ่นเฉียวตอบ ยื่นมือไปจับพวกเขามาโดยตรง
ในหัวสมองของเฉินกงมีเสียงสัญญาณเตือนภัยดังสนั่น ร่างกายเองก็คิดหนี แต่ไม่รู้อย่างไร มองดูมือข้างหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามยื่นมา กลับใช้เรี่ยวแรงไม่ออกสักนิด ได้แต่มองดูมือเรียวยาวอ่อนนุ่มข้างนั้นปัดผ่านไหล่ของตนเอง เขาขาอ่อนระทวย ทั้งร่างจึงเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น
“ศิษย์น้องหญิงน่าสนใจนัก นี่เตรียมฆ่าคนอีกแล้ว?” สิ่งที่ปรากฏพร้อมกับเสียงแหบชรา กลับเป็นใบหน้าเยาว์วัยที่หล่อเหลางดงามถึงขีดสุด
บุรุษลอยลงมาจากบนกำแพงอย่างเบาหวิว กล่าวกับไป๋หรงที่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “ได้เจอศิษย์พี่ ศิษย์น้องหญิงไม่ดีใจหรือ”
ไป๋หรงจำต้องทิ้งพวกเสิ่นเฉียวชั่วคราว รับมือกับอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ “ศิษย์พี่กล่าวคำพูดอันใด ข้ามิได้พบเจอท่านนานมาก เมื่อครู่ทั้งตกใจและดีใจ ลืมตอบสนองชั่วขณะ”
ฮั่วซีจิงมองดูนางแวบหนึ่งคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม สายตาโฉบผ่านเฉินกงก่อนตกบนร่างเสิ่นเฉียว เผยสีหน้ารู้สึกสนใจอย่างมากออกมา “คุณชายที่หล่อเหลาเช่นนี้ ถึงอย่างไรศิษย์น้องหญิงก็จะสังหารอยู่แล้ว มิสู้เอาหนังหน้าของเขามาให้ข้าก่อน เจ้าค่อยฆ่าเป็นเช่นไร”
ไป๋หรงเคลื่อนตัวขวางอยู่หน้าเสิ่นเฉียวอย่างรวดเร็วก่อนกล่าว “ศิษย์พี่ล้อเล่นแล้ว ข้าไม่เคยคิดฆ่าพวกเขา กลับเป็นศิษย์พี่ที่เหตุใดจึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ คงมิใช่เดินทางพันลี้มาพูดคุยเรื่องในอดีตกับข้ากระมัง”
ฮั่วซีจิงกล่าว “ได้ยินว่าเมื่อวานศิษย์น้องหญิงได้รับโอกาสใหญ่หลวง ข้าเองก็เดินทางมาที่นี่พอดีจึงแวะมาเยี่ยมสักหน่อย”
“ศิษย์พี่ตีสำนวนอันใด ข้าฟังไม่เข้าใจ!”
ฮั่วซีจิงแค่นเสียง “เมื่อคืนพรรคลิ่วเหอปรากฏตัวอยู่ในวัดชานเมืองพร้อมชิ้นส่วนคัมภีร์สุริยัน ซึ่งตอนนี้ถูกเยี่ยนอู๋ซือทำลายไปแล้ว ในตอนนั้นเจ้าเองก็อยู่ที่นั่น ได้ยินว่าก่อนชิ้นส่วนคัมภีร์ถูกทำลาย เยี่ยนอู๋ซือให้คนอ่านรอบหนึ่ง ด้วยความเฉลียวฉลาดหลักแหลมของศิษย์น้องต้องเขียนออกมา เตรียมมอบให้อาจารย์แล้วเป็นแน่”
ไป๋หรงแลบลิ้น ทำท่าแง่งอนของเด็กผู้หญิงขณะกล่าว “ด้วยความกตัญญูที่ข้ามีต่ออาจารย์ สิ่งของเช่นนี้ย่อมต้องมอบให้เขาจัดการ ศิษย์พี่คงไม่คิดมาแย่งชิงความชอบหลังได้ยินข่าวกระมัง ข้าไม่ยอม!”
“ศิษย์พี่กลับมีวิธีที่ดี มิสู้เจ้ามอบสิ่งของให้ข้าเก็บรักษา พวกเราค่อยกลับไปรายงานภารกิจต่ออาจารย์ด้วยกัน เช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวเจ้าทำหายแล้ว”
ไป๋หรงยิ้มพลางกล่าว “ศิษย์พี่เห็นข้าเป็นคนโง่หรือ”
ฮั่วซีจิงเองก็ยิ้มพลางกล่าว “เจ้าไม่เชื่อศิษย์พี่เช่นนี้ ทำให้ศิษย์พี่เสียใจ!”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้พูดคุยหยอกล้อ ความจริงแต่ละประโยคลอบซ่อนดาบกระบี่ ล้วนกำลังจ้องมองช่องโหว่และจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม
ไป๋หรงมิกล้าผ่อนคลายแม้ครู่เดียว รู้ดีว่าเสิ่นเฉียวพาเฉินกงหลบหนีไปแล้วแต่ก็ไม่มีเวลาสนใจเขา ได้แต่มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ฮั่วซีจิง กลัวว่าหากไม่ระวังจะติดกับของฝ่ายตรงข้าม
ฮั่วซีจิงเลิกคิ้วถาม “พวกเขาไปแล้ว หรือว่าศิษย์น้องไม่ไล่ตามหรือ”
ไป๋หรงกระหยิ่มยิ้มย่องกล่าว “เทียบกับพวกเขา ข้ายังคงคิดว่าศิษย์พี่สำคัญกว่าอยู่บ้าง”
คำพูดนี้กล่าวได้แฝงความหมายลึกซึ้ง แต่ในใจพวกเขาทั้งสองต่างเข้าใจดี ว่ามันมิใช่เรื่องเช่นนั้นเลย
เฉินกงไม่รู้เลยว่าตนเองถูกเสิ่นเฉียวดึงขึ้นมาแล้วพาหนีได้อย่างไร เสิ่นเฉียวดวงตามองไม่เห็น แม้มีไม้เท้าไม้ไผ่ก็ยังเดินเหินโซซัดโซเซ ในตัวเฉินกงไม่มีเรี่ยวแรง ได้แต่ชี้ทางให้เขาอยู่ด้านหลัง คนทั้งสองหนีอยู่ครึ่งชั่วยาม เฉินกงอดหอบหายใจกล่าวมิได้ “อย่า อย่าวิ่งเลย ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว…”
เสิ่นเฉียวชะลอฝีเท้า สีหน้าตึงเครียดไม่ลดละ เดินไปยังโรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุด
เฉินกงรีบถาม “พวกเราไม่ออกจากเมืองหรือ รีบหนีออกจากเมือง ปีศาจสาวนางนั้นจะได้ไล่ตามมาไม่ทัน!”
เสิ่นเฉียวกล่าว “พวกเขาต้องคิดว่าพวกเราออกจากเมืองอย่างแน่นอน ฉะนั้นพวกเราจึงมิอาจออกไป ในเมืองคนมาก พวกเขาหาพวกเราพบไม่ง่าย พักแรมที่โรงเตี๊ยมก่อน พรุ่งนี้ค่อยหาโอกาสออกจากเมือง มีบุรุษผู้นั้นอยู่ นางคงไม่สนใจพวกเราชั่วครู่”
พวกเขาเข้าโรงเตี๊ยม เมื่อครู่แม้เฉินกงเห็นเสิ่นเฉียวเดินได้เร็ว แต่ความจริงสีหน้าอ่อนล้าเกินทน นึกขึ้นได้ว่าร่างกายของเขาอ่อนแอกว่าตนเองมาก ยามปกติเดินได้ไม่กี่ก้าวก็จะหอบหายใจ ในใจรู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้างจึงกล่าว “กลางคืนข้านอนกับพื้นแล้วกัน บนเตียงให้เจ้านอน”
เสิ่นเฉียวมิได้ปฏิเสธ เนื่องเพราะเขาเองก็ทนไม่ไหวอยู่บ้างจริงๆ หลังเมื่อคืนถูกเยี่ยนอู๋ซือเติมพลังปราณใช้สายตาเกินขีดจำกัด ทั่วร่างก็อ่อนระทวย ก่อนหน้าเพียงแค่เกร็งลมปราณไว้ ตอนนี้พอผ่อนคลาย ทั้งร่างก็อ่อนล้าแทบล้มลง
เฉินกงประหลาดใจอยู่บ้าง “พวกเขาคือศิษย์พี่ศิษย์น้อง เหตุใดกลับเหมือนศัตรู บุรุษผู้นั้นเองก็แปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย สุ้มเสียงเหมือนคนชรา ใบหน้ากลับเยาว์วัยเพียงนั้น!”
เสิ่นเฉียวนวดขมับ “เพราะที่เขาใช้คือลักฟ้าเปลี่ยนตะวัน”
เฉินกงเอ่ยถาม “อะไรเรียกว่าลักฟ้าเปลี่ยนตะวัน”
คิดในใจว่าชื่อนี้ฟังแล้วมีอำนาจยิ่งนัก
เสิ่นเฉียวกล่าวตอบ “คือวิชาเปลี่ยนหน้า ถลกหนังหน้าของคนอื่นมา ใช้วิชาลับบางอย่าง ผสมผสานเข้ากับใบหน้าของตนเอง ทำให้ตนเองโฉมงามอ่อนเยาว์ตลอดกาล พวกเขาสองคน ไม่ว่าใครก็เป็นบุคคลที่รับมือได้ยาก หากมิใช่ศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ถูกกัน วันนี้พวกเราคงหนีไม่รอด”
เฉินกงฟังจนขนพองสยองเกล้า กล่าวโดยไร้เสียง “เหตุใดจึงมีเพลงหัตถ์ที่อำมหิตเช่นนี้!”
เสิ่นเฉียวไม่อยากฝืนจิตใจอีก ถือโอกาสนอนลงตะแคงขดตัว หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยบนหน้าอันขาวซีด สภาพเหมือนมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
แรกเริ่มขณะเดินทางร่วมกับเขา เฉินกงยังกังวลอยู่บ้างว่าเขาอาจจะล้มลงได้ทุกเมื่อ ต่อมาเห็นเขามีสภาพเช่นนี้ทุกวันจึงเคยชินแล้ว
พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมา เฉินกงรีบถาม “เจ้าบอกว่าตัวเองจำอะไรไม่ได้แล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงรู้ว่าคนผู้นั้นใช้วิชาเปลี่ยนหน้า”
เสิ่นเฉียวกล่าว “อ้อ บางครั้งจะนึกขึ้นได้บ้าง”
เฉินกงเชิดมุมปาก
“นอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้า” เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเฉียวไม่อยากมากความ พลิกตัวหันหลังให้เขา
เฉินกงจนปัญญา จำต้องนอนลงตาม
กลางดึกเขายังฝันร้าย ฝันเห็นหนังหน้าของตนเองถูกถลกลงมา เปลี่ยนเป็นใบหน้าคนชราที่รอยย่นเต็มหน้า ส่องกระจกตนเองยังจำตนเองมิได้ สุดท้ายตกใจจนตื่นขึ้นมา พบว่าท้องฟ้าสว่างมากแล้ว แต่บนเตียงกลับว่างเปล่า
เสิ่นเฉียวหายไปแล้ว
เฉินกงตกใจ กระโดดขึ้นมา ในหัวสมองปั่นป่วนวุ่นวาย พอจับบนเตียงก็ไม่มีไออุ่นหลงเหลือแล้ว ขณะกำลังไม่รู้จะวิ่งออกไปเสาะหาดีหรือไม่ ก็เห็นเสิ่นเฉียวผลักประตูเดินเข้ามา
เขาโล่งอก เอ่ยถามทันที “เจ้าไปที่ใดมา”
คนทั้งสองเดินทางร่วมกันในระยะเวลานี้ แม้ปากไม่กล่าว แต่ในใจเฉินกงคุ้นเคยกับการดำรงอยู่ของเสิ่นเฉียวโดยไม่รู้ตัว
ในสายตาคนนอก เสิ่นเฉียวคือคนตาบอด ร่างกายไม่ดี ชีวิตความเป็นอยู่ต้องไม่สะดวกอย่างมากแน่นอน ต้องพึ่งพาเฉินกงช่วยเหลือ แต่ความจริงกลับเป็นเฉินกงต้องฟังเสิ่นเฉียวในหลายๆ เรื่อง เคราะห์ดีที่มีเสิ่นเฉียว พวกเขาจึงไม่ต้องเดินทางอ้อมมากมาย
เสิ่นเฉียวปิดประตู กล่าวเสียงแผ่วเบา “วันนี้พวกเราออกจากที่นี่กันเถอะ”
เฉินกงตกตะลึง กระโดดขึ้นมาทันที “เพราะเหตุใด!”
เสิ่นเฉียวกล่าว “หลังไป๋หรงกับศิษย์พี่ของนางต่อสู้กัน คงไม่กลับมาหาพวกเรา ทางด้านพรรคลิ่วเหอ เมื่อคืนพวกเขาอยากเดินทางร่วมกับพวกเรา ถูกข้าใช้คำพูดผลักไสไป ภายหลังก็คงไม่เสียใจ”
เขาหยุดชะงัก ถอนหายใจกล่าว “ยังมีมู่หรงชิ่น คนผู้นั้นคงเป็นยอดฝีมือของราชสำนัก หากเขาโยกย้ายคนของทางการคิดหาพวกเรา ก็มิได้เปลืองแรงแม้แต่น้อย แม้กล่าวว่าพวกเราคนหนึ่งคือคนตาบอด คนหนึ่งไม่รู้หนังสือ แต่ความเย้ายวนของคัมภีร์สุริยันมีมากเหลือเกิน ของที่คนมากมายพยายามแสวงหาทั้งชีวิตแต่ไม่ได้ไป กลับถูกพวกเราได้ฟัง เทียบกับคนอื่นที่นั่นในตอนนั้น พวกเราคือคนอ่อนแอที่สุด ไม่ว่าชาวยุทธ์คนใดล้วนเอาชีวิตของพวกเราได้”
เฉินกงกล่าวอย่างติดอ่าง “ชะ เช่นนั้นทำอย่างไร พวกเราเองก็มิได้จงใจฟัง ของเล่นนั่นออกเสียงยากเพียงนั้น ใครจะไปอยากฟังเล่า!”
“ปุถุชนไร้ซึ่งความผิด ผิดที่ครอบครองหยก เมื่อคืนเราสองคนปรากฏตัวด้วยกัน ได้ทิ้งภาพจำให้คนอื่นแล้ว เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ได้แต่แยกย้ายกันไป”
หลังทำตัวไม่ถูกครู่หนึ่ง เฉินกงพบว่านี่คือวิธีในไม่มีวิธีโดยแท้จริง หากต้องลงมือขึ้นมาจริงๆ คาดว่าเพียงฝ่ามือเดียวคนอื่นก็ฟาดพวกเขาทั้งสองล้มคว่ำได้ ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ถาโถมอยู่ในใจ ซ้ำยังเปลี่ยนเป็นความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่ลึกล้ำกว่าเดิม…เฉินกงเจ็บแค้นที่ตนเองไร้สามารถ แต่ก็จนปัญญา
“…เช่นนั้นก็ได้” เขาฝืนกล่าว มองไปยังเสิ่นเฉียว “แต่เจ้าอยู่ตัวคนเดียวได้หรือ”
เสิ่นเฉียวยิ้มพลางกล่าว “เหตุใดไม่ได้ ก่อนหน้าอยู่ที่อำเภอฝู่หนิง เจ้าเห็นข้าตัวคนเดียวก็ดีมิใช่หรือ”
เฉินกงลองคิดดูก็ใช่ แต่ไม่ว่าอย่างไรจิตใจก็ไม่มีความสุขขึ้นมา เขาถาม “เช่นนั้นรอหลังออกจากเมือง พวกเรายังพบหน้ากันได้หรือไม่”
เสิ่นเฉียวกล่าว “แล้วแต่วาสนาเถอะ เจ้ายังต้องการไปพรรคลิ่วเหออยู่หรือเปล่า”
เฉินกงส่ายหน้า กลับได้สติยิ่งนัก “รองประมุขผู้นั้นจำข้าได้แล้ว ข้าไปพรรคลิ่วเหอ มิใช่ไปติดกับเสียเองหรือ ผู้คนต่างรู้ว่าข้าเคยได้ยินชิ้นส่วนคัมภีร์น่าชังนั่น ต้องอยากขุดค้นอะไรจากตัวข้าสักหน่อยอย่างแน่นอน”
เสิ่นเฉียวกล่าว “เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวไปที่ใด”
เฉินกงกล่าวอย่างหมดอาลัย “เดินหนึ่งก้าวคิดหนึ่งก้าวแล้วกัน ไม่แน่ว่าเมื่อใดที่ใช้เงินหมดแล้ว ก็พักอยู่ที่นั่น แต่ก็ต้องกินข้าวอยู่ดี”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ถึงอย่างไรพรรคลิ่วเหอก็เป็นพรรคใหญ่ ต้องใช้คุณสมบัติสูงในการเข้าพรรค ต่อให้เจ้าเข้าไปแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะได้รับการปฏิบัติที่ดีอะไร มิสู้หาสำนักเล็กๆ ที่เที่ยงตรงมีคุณธรรม ด้วยความเฉลียวฉลาดและความสามารถของเจ้า ไม่นานก็ออกหน้าได้เป็นแน่”