everY
ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 4 #นิยายวาย
มู่ถีผอถึงขั้นคิดได้แล้วว่าจะกักตัวคนเล่นจนพอใจที่ไหวโจวก่อน ค่อยส่งไปให้เกาเหว่ยฮ่องเต้ฉี เกาเหว่ยเหมือนกันกับเขา มักชอบเล่นสิ่งของที่ไม่เหมือนผู้คน หากคนงามตาบอดเช่นนี้ถูกส่งไป ฮ่องเต้ต้องดีใจอย่างมากเป็นแน่
“เจ้านามว่าอะไร” เขาถามเสิ่นเฉียว
เสิ่นเฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย กลับมิได้ตอบ เพียงกล่าว “เฉินกง?”
แม้รู้ดีว่าเสิ่นเฉียวมองไม่เห็น แต่เฉินกงยังคงหลบเลี่ยงสายตาของเขาตามสัญชาตญาณ
มู่ถีผอเห็นเข้าก็หัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียงแล้วกล่าว “เฉินกงบอกกับข้าว่าที่นี่มีคนงาม น่ามองกว่าคนทั้งหมดที่ข้าพามาร้อยเท่าพันเท่า เดิมข้าไม่เชื่อ รู้สึกว่าเด็กน้อยผู้นี้ไม่เคยเห็นโลก กล่าวแต่ความเท็จ ฉะนั้นจึงตามมาดูสักหน่อย เพียงแต่ตอนนี้พอได้เห็นจึงรู้ว่าเขาเองก็มิได้อวดอ้าง”
เสิ่นเฉียวนิ่งเงียบไม่กล่าวคำ ไม่แสดงสีหน้า
มู่ถีผอไม่นำพามาใส่ใจ กล่าวต่อ “ข้าคือมู่ถีผอ จวิ้นอ๋องแห่งเฉิงหยาง ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน หากเจ้ายอมตามข้ากลับไป นับจากนี้ไปย่อมมีชีวิตที่หรูหรา ร่ำรวยทรงเกียรติ และไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่โกโรโกโสเช่นนี้”
เสิ่นเฉียวจึงถอนหายใจ “เฉินกง เป็นเจ้าเปิดเผยร่องรอยของข้าต่อเขา?”
เฉินกงตัดสินใจกล่าว “ข้าเองก็จนปัญญา! ถ้าหากไม่พาพวกเขามา ตัวข้าเองก็ต้องไปเป็นวัวเป็นควายให้ท่านอ๋องมู่!”
เสิ่นเฉียวส่ายหน้ากล่าว “หรือเจ้าคิดว่าพาพวกเขามา ตัวเจ้าเองจะพ้นเคราะห์หรือ เจ้าลองถามจวิ้นอ๋องแห่งเฉิงหยางท่านนี้ ว่าเขายินยอมปล่อยเจ้าไปหรือไม่”
มู่ถีผอหัวเราะฮ่าๆ พร้อมกล่าว “มิผิด เด็กน้อยผู้นี้แม้เทียบเจ้ามิได้แม้แต่ปลายนิ้ว แต่ถึงอย่างไรก็แขนขาครบถ้วน สมองฉับไว ใบหน้าก็ยังนับว่าดูได้ คนเช่นนี้นำมาเป็นบริวารก็ดี!”
เฉินกงตกใจ “เมื่อครู่ท่านบอกว่าจะปล่อยข้าไปชัดๆ!”
มู่ถีผอไม่เห็นเฉินกงอยู่ในสายตาเลย เขาโบกมือ ข้ารับใช้ทางซ้ายและขวาจึงเข้ามาจับเฉินกงไว้
ส่วนตัวเขาเดินไปหาเสิ่นเฉียว
ไม่รู้ว่าเสิ่นเฉียวรู้สึกถึงการเข้ามาใกล้ของเขาได้หรือไม่ ในที่สุดก็พยุงขอบโต๊ะลุกขึ้น ดูแล้วเหมือนกำลังทำความเคารพต้อนรับ
มุมปากมู่ถีผอแฝงรอยยิ้ม ทุกอย่างล้วนอยู่ในความคาดหมาย
ชาวโลกหาได้เกรงกลัวหรือเลื่อมใสต่ออำนาจไม่ ผู้เกรงกลัวตัวสั่นงันงก ผู้เลื่อมใสเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ต่อให้ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนไม่ค่อยยินยอม แต่ไม่นานก็จะปรับตัวถึงขั้นชอบเกียรติยศความร่ำรวย หญิงสาวโฉมสะคราญ ถึงเวลาต่อให้คิดถอนตัวก็ไม่กลับมาเป็นตัวเองแล้ว
มู่ถีผอเอ่ยถาม “เจ้านามว่าอะไร”
เสิ่นเฉียวกล่าวตอบ “ข้าชื่อว่าเสิ่นเฉียว”
“เฉียวที่แปลว่าต้าเฉียวเสี่ยวเฉียว หรือ ชื่อสอดคล้องกับความเป็นจริง”
เสิ่นเฉียวกล่าว “แปลว่ายอดเขาสูง”
มู่ถีผอเลิกคิ้วแย้มยิ้ม “อธิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เซ่นไหว้แม่น้ำยอดเขา? เฉียวตัวนี้ดุดันอยู่บ้าง มิใช่นามที่คนงามควรตั้ง”
เสิ่นเฉียวกลับมิได้แย้มยิ้ม “ข้าคิดว่านามนี้ดียิ่งนัก”
“ประเสริฐๆ เจ้าชอบก็ดี เจ้ามีชื่อรองหรือไม่ หรือให้ข้าเรียกเจ้าเสี่ยวเฉียว? อาเฉียว?” มู่ถีผอยิ้มพลางกล่าว น้ำเสียงพกพาความหลงรักและคล้อยตามอยู่บ้างโดยไม่เจตนา
เสิ่นเฉียวก้มตัวไปเก็บไม้เท้าไม้ไผ่ ลำคอเผยออกมาช่วงหนึ่ง ภายใต้คอเสื้อขาวโพลนเรียวยาว ชวนให้คนมองตกอยู่ในภวังค์
มู่ถีผอรู้สึกคันหัวใจ อดยื่นมือไปพยุงมิได้ คิดฉวยโอกาสดึงคนมาในอ้อมกอดเพื่อจะได้อิงแอบแนบชิดพอดี
ไออุ่นในกายเสิ่นเฉียวลดต่ำลง ซูบผอมเพราะเจ็บป่วย ขณะข้อมือถูกจับเอาไว้ มู่ถีผอยังรู้สึกได้ถึงกระดูกด้านล่างที่ถูกเนื้อหนังบางๆ ปิดคลุม
หากเปลี่ยนเป็นยามปกติ ด้วยสายตาที่สอดส่ายหาคนงามของมู่ถีผอ ต้องไม่ชอบที่ผิวสัมผัสของฝ่ายตรงข้ามไม่ดีเช่นนี้แน่นอน แต่ยามนี้เขากลับจิตใจหวั่นไหว อดรนทนไม่ไหวแล้ว
“อาเฉียว…” เขากล่าวเพียงสองคำ
กล่าวได้เพียงสองคำนี้
มู่ถีผอก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
เขาก้มหน้ามองดู ปรากฏว่าไม้เท้าไม้ไผ่อันนั้นกลับมาอยู่บริเวณหน้าอกตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แทงบริเวณหัวใจของเขาพอดี
มู่ถีผอตอบสนองไม่ช้า หลังเจ็บปวด ท่อนบนก็หงายไปด้านหลัง มือข้างหนึ่งไปจับไม้เท้าไม้ไผ่ มืออีกข้างหนึ่งฟาดใส่เสิ่นเฉียว
เดิมเขามิใช่คนที่จิตใจกว้างขวาง ซ้ำยังเกลียดคนงามที่ดูเหมือนอ่อนแอไร้พิษสง แต่กลับกล้าลอบทำร้ายตนเอง ฉะนั้นพอลงมือก็ไม่ไว้ไมตรีอีก
มู่ถีผอเองก็มีวรยุทธ์ แม้กล่าวว่าเป็นระดับสองระดับสาม แต่หากฝ่ามือนี้ฟาดบนร่างเสิ่นเฉียวจริง เขาไม่ตายก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่ทว่าเหนือความคิดหมาย ไม้เท้าไม้ไผ่ที่มั่นคงแต่เดิมไถลเบาๆ หลุดออกจากการควบคุมของมู่ถีผอ
มิเพียงเท่านี้ มืออีกข้างหนึ่งที่มู่ถีผอฟาดไปยังฝ่ายตรงข้ามก็พลาดเป้า
คนงามที่เขาคิดว่าเจ็บป่วยอ่อนแอ ใช้เพลงเท้าอันเลิศล้ำประเภทหนึ่งหลบการโจมตีของเขา ถึงขั้นพลิกกลับมาใช้ไม้เท้าไม้ไผ่เคาะบนเอวเขาหนึ่งที
กำลังภายในฝ่ายตรงข้ามเวิ้งว้างว่างเปล่า การโจมตีนี้มิอาจสร้างความเสียหายต่อมู่ถีผอมากเท่าไหร่นัก แต่กลับโจมตีบนจุดที่อ่อนแอที่สุดอย่างบริเวณกระดูกซี่โครงของเขาพอดี มู่ถีผอไม่ทันป้องกัน มิอาจโคจรพลังปราณต่อต้าน ผลสุดท้ายถูกการเคาะนี้ทำให้เจ็บจนน้ำตาแทบไหลออกมา อดร้องโอ๊ยหนึ่งคำมิได้ ขยับถอยหลังทันที
เหล่าข้ารับใช้ของเขาจึงตอบสนองขึ้นมา บางคนเข้าไปประคองมู่ถีผอ บางคนกรูกันเข้าไป เตรียมจับเสิ่นเฉียวเอาไว้
มู่ถีผอไม่เคยคิดว่าตนจะเสียเปรียบที่นี่ สีหน้ามืดครึ้มจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา จ้องมองเสิ่นเฉียวอย่างดุร้าย ในดวงตาไม่ปกปิดแววเดือดดาล ในสมองคิดวิธีทรมานฝ่ายตรงข้ามแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยแบบ “จับเป็นเขามาให้ข้า!”
ในบรรดาข้ารับใช้ที่เขาพามาก็มีผู้ที่ฝีมือไม่เลว อาศัยคนมาก ไม่เห็นคนที่ตาบอดและเจ็บป่วยอ่อนแอผู้นี้อยู่ในสายตา ใครจะไปรู้ว่ากลับพ่ายแพ้ทั้งหมด
ไม้เท้าไม้ไผ่อันเดียวของเขา ทำให้คนทั้งหมดมิอาจประชิดตัวได้
แต่มิเพียงเท่านี้ คล้ายรู้ว่าทางฝั่งมู่ถีผอคนมาก เสิ่นเฉียวเองก็มิได้คิดเปลืองแรงกับพวกเขาต่อไปอีก ลงมือโหดขึ้นเรื่อยๆ หน้าตาที่อ่อนแออย่างเห็นได้ชัดเพราะตาบอดในยามปกติ ยามนี้กลับเคลือบด้วยความถมึงทึงชั้นหนึ่ง มีคนผู้หนึ่งคิดอ้อมไปด้านหลังเพื่อจับเขาไว้ กลับถูกไม้หนึ่งฟาดลงไป คนโซเซถอยหลังต่อเนื่อง เสิ่นเฉียวไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ถือโอกาสผลักคนลงหน้าต่าง
เสียงแผดร้องที่ตกลงไปจากชั้นสองถ่ายทอดมา กลุ่มคนต่างเกรงกลัวอยู่บ้าง ลืมท่าทางชั่วขณะ
“ยังมีใครมาอีก”
เขา ‘มอง’ กลุ่มคนเอาไว้โดยไม่แสดงสีหน้า ไม้เท้าไม้ไผ่แตะพื้น แน่นิ่งไม่ไหวติง
สีหน้ายังคงขาวซีด แต่กลับมีความถมึงทึงเพิ่มขึ้นชั้นหนึ่ง
เฉินกงปากอ้าตาค้าง
คราวก่อนเขามองเห็นเสิ่นเฉียวขับไล่กระยาจกน้อยทั้งหลายเมื่อครั้งยังคงอยู่ที่วัดร้าง ในตอนนั้นก่อนรู้ว่าเสิ่นเฉียวเจ็บป่วยสูญเสียความทรงจำ อาจเป็นยอดฝีมือวรยุทธ์คนหนึ่ง แต่ภายหลังที่วัดชูอวิ๋น หลังเห็นพวกเยี่ยนอู๋ซือกับหลวงจีนเสวี่ยถิงลงมือ มุมมองที่มีต่อโลกราวกับยกระดับขึ้นอีกขั้น ไม่รู้สึกว่าเสิ่นเฉียวร้ายกาจอีกแต่อย่างใด
กระทั่งขณะนี้ เขาคล้ายสังเกตเห็นความลับมากมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างฝ่ายตรงข้าม ซ้ำยังคล้ายถูกปิดบังอำพราง ไม่รู้อะไรสักอย่าง
มู่ถีผอรู้ตัวว่าเสียหน้า ทั้งเคืองแค้นและชิงชังเสิ่นเฉียว ประเดี๋ยวก็อยากฆ่าคนผู้นี้ ประเดี๋ยวก็รู้สึกว่าฆ่าเพียงอย่างเดียวยังไม่หายแค้น ต้องจับเป็นกลับไปกระทำชำเราสิบรอบแปดรอบ สุดท้ายค่อยทิ้งให้ลูกน้องของตนเองเล่นจนตาย จึงนับว่าหายแค้นใจ
เขาหันมองซ้ายขวา เห็นกลุ่มคนล้วนของตนเผยสีหน้าลังเลมิกล้าเข้าไป จึงด่าหนึ่งคำอย่างอดมิได้ “พวกเจ้าคนมากเพียงนี้ หรือว่าสู้คนตาบอดเพียงคนเดียวมิได้ จะทับก็ทับให้ตายได้!”
กลุ่มคนยังคงมิกล้าขยับ หลักๆ คือถูกตีจนกลัวแล้ว บนร่างล้วนเป็นแผลมากบ้างน้อยบ้าง ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามกลับสามารถสำแดงประโยชน์ของไม้เท้าไม้ไผ่อันเดียวถึงขีดสุด
เสิ่นเฉียวสีหน้าเฉยชา เพียงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น คล้ายกำลังรอพวกเขาจากไปหรือเข้ามาท้าทายต่อ
มู่ถีผอแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาหนึ่งเสียง “เมื่อครู่เจ้ามิได้ใช้กำลังภายใน อาศัยเพียงกระบวนท่ายอดเยี่ยม ต้านทานได้ไม่นานเท่าไหร่ คนของข้าก็ล้อมโรงเตี๊ยมนี้เอาไว้แล้ว หากเจ้ารู้จักกาลเทศะ ก็คุกเข่าลงร้องขอชีวิตอย่างว่าง่าย บางทีข้าอาจยังให้ชีวิตเจ้าได้ มิฉะนั้น…”
เสิ่นเฉียวกล่าว “มิฉะนั้นจะเป็นอย่างไร”
มู่ถีผอเผยสีหน้าดุร้าย “มิฉะนั้น…”
คำพูดนี้ยังมิทันกล่าวจบ เขาก็เห็นเสิ่นเฉียวฟาดฝ่ามือหนึ่งไปด้านข้าง
คนที่คิดว่าเสิ่นเฉียวไม่มีกำลังภายในก่อนหน้าล้วนตกใจ พอกระแสลมพุ่งจากฝ่ามือไป เสาก็ล้มลงมาพอดี
กลุ่มคนคาดคิดไม่ถึง มิอาจไม่พุ่งกายหลบหลีก มู่ถีผอเองก็ไม่เว้น เนื่องจากเสาอยู่ด้านหลังเขาไม่ไกล เขามิอาจถอยไปด้านหลังจึงได้แต่พุ่งกายไปด้านข้าง ผลสุดท้ายเสิ่นเฉียวยังฉวยโอกาสขณะเขาหลบหลีกฟาดใส่แผ่นหลังเขา
มู่ถีผอหมุนตัวตอบโต้ แต่กลับไม่คาดว่าจะตกสู่กับดักของเสิ่นเฉียวพอดี เสิ่นเฉียวม้วนแขนเสื้อ จับข้อมือเขาเอาไว้ ดึงเขาถอยไปริมหน้าต่าง มืออีกข้างหนึ่งจับลำคอของเขาไว้
กลุ่มคนมองดู ยิ่งมิกล้าขยับเขยื้อนส่งเดช
มู่ถีผอคิดไม่ถึงว่าข้อมือที่ผอมจนเห็นกระดูกได้นั้นกลับมีพลังมากเพียงนี้ บีบคอจนตนเองหายใจไม่ออกเลย มืออีกข้างหนึ่งยึดตรึงจุดชีวิตของเขาเอาไว้แน่น ทำให้เขามิกล้าใช้แม้กระทั่งลมปราณ
“เจ้าทำเช่นนี้ รังแต่ แค่กๆ รนหาที่ตาย!” มู่ถีผอคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองเล่นกับเหยี่ยว สุดท้ายกลับถูกเหยี่ยวจิกตา โมโหแทบตายแต่ก็มิกล้าขยับส่งเดช
แต่ใครจะคิดได้อีกเล่าว่าสภาพนี้ของเสิ่นเฉียวยังทำให้คนหัวหมุนได้
“รนหาที่ตายเองหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่า หากวันนี้ท่านไม่ปล่อยข้าไป เกรงว่าท่านต้องตายอยู่ที่นี่ก่อน” เสิ่นเฉียวน้ำเสียงอ่อนโยน พลังเสียงก็ไม่สูงนัก บางครั้งกระแอมไอเบาๆ หนึ่งเสียง ไม่พกพาความโกรธสักนิด “ได้ชีวิตของผู้สูงศักดิ์ แลกกับชีวิตที่ไม่เพียงพอให้กล่าวถึงของข้า การค้าขายบัญชีนี้คุ้มค่ายิ่งนัก”
ก่อนหน้าตนเองมองผิดได้อย่างไรกันแน่ คิดว่าเขาไม่มีพิษสงและอ่อนแอ!
มู่ถีผอจนปัญญา จำต้องให้ข้ารับใช้ที่จ้องเขม็งเหล่านั้นถอยไป “พวกเจ้าไปบอกด้านนอก ให้พวกเขาถอยไปให้หมด!”
เสิ่นเฉียวถอนหายใจ “ท่านอ๋องเถรตรงเช่นนี้แต่แรกก็จบแล้ว ไปเถอะ ขอท่านอ๋องส่งข้าไปนอกเมือง ค่อยให้รถม้าข้าสักคัน”
มู่ถีผอแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นคนตาบอด ได้รถม้าไปจะมีประโยชน์อะไร หรือว่ายังต้องให้ข้าส่งสารถีให้เจ้าอีก”
เสิ่นเฉียวขบคิดพลางกล่าว “ท่านอ๋องมู่กล่าวได้มีเหตุผล เช่นนั้นรบกวนท่านไปเป็นเพื่อนข้าอีกช่วงหนึ่ง สารถีผู้นั้นคงมิกล้าไม่ฟังคำสั่งเป็นแน่”
มู่ถีผอกลัดกลุ้ม
ถ้าหากเดินทางออกจากเมืองแล้ว มู่ถีผอถูกบังคับให้ขึ้นรถม้า มีเขาอยู่ในมือ สารถีก็มิกล้าไม่ฟังคำสั่ง
รถม้าไปทางตะวันตก เดินทางสองวันหนึ่งคืนเต็มๆ กระทั่งเข้าใกล้ชายแดนเป่ยโจว ยังตรวจดูให้แน่ใจว่าข้ารับใช้ของมู่ถีผอยังไล่ตามมาไม่ทัน เสิ่นเฉียวจึงให้สารถีขับรถม้ากลับไป จากนั้นยังจี้ตัวมู่ถีผอเข้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งของอำเภอเหยียนโซ่วตรงชายแดน ตีเขาให้สลบก่อนค่อยทำลายแท่งสืบพันธุ์ของเขา เพื่อมิให้วันหน้าเขาไปทำร้ายคนอื่นอีก ซ้ำยังทิ้งเขาไว้ในห้องห้องหนึ่งแล้วจึงจากไปเพียงลำพัง
เสิ่นเฉียวออกจากโรงเตี๊ยม จ้ำอ้าวเดินไปทางประตูเมือง เพียงแต่เพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดลง หาซอกมุมของตรอกที่เปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน พิงบนกำแพง ต้านทานไม่อยู่อีกต่อไป ก้มตัวบ้วนโลหิตคำใหญ่ออกมา
ด้านข้างถ่ายทอดเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งมา
เสิ่นเฉียวไม่จำเป็นต้องเงยหน้าก็รู้ว่าคือใคร เขายื่นแขนเสื้อเช็ดรอยเลือดที่มุมปากออกไป ถือโอกาสพิงกำแพงนั่งลง
บุรุษชุดคลุมสีเขียวผู้หนึ่งปรากฏกายตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ หน้าตาหล่อเหลางดงาม อำนาจป่าเถื่อน หางตาแคบยาวมีรอยย่นเล็กน้อย เพียงแต่รอยย่นเล็กน้อยนี้กลับเพิ่มเสน่ห์ที่บอกได้ไม่ชัดเจนชนิดหนึ่งให้แก่เขา