อู๋เซี่ยวเซี่ยวไม่เคยเชื่อเรื่องภูตผีหรือเทพเจ้า
ชั่วพริบตานั้นที่รถพลิกคว่ำ นางรู้สึกแค่ว่าชีวิตนี้ของตนเองคงจบสิ้นลงแล้ว
แต่ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งขณะที่เจ็บระบมไปทั้งตัว นางเห็นตนเองนอนอยู่บนเตียงไม้โบราณหลังหนึ่ง พอมองการตกแต่งห้องที่มืดสลัวรอบด้านก็อดเหม่อลอยนิดๆ ไม่ได้ รู้สึกเพียงว่าตนเองเหมือนจะไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล
“เซี่ยวเหนียง ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว! หากเจ้ายังไข้ขึ้นสูงต่อไปไม่ตื่นเสียที ข้าคงต้อง…คงต้อง…สวรรค์คุ้มครอง…” เสียงโศกเศร้าอาดูรดังขึ้นขณะที่สตรีที่มีใบหน้าซีดเซียวนางหนึ่งปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอู๋เซี่ยวเซี่ยว
อู๋เซี่ยวเซี่ยวที่เพิ่งฟื้นเกือบสะดุ้งตกใจเพราะสตรีผู้นี้ แม้อีกฝ่ายจะมีเรือนผมยุ่งเหยิง ใบหน้ามอมแมม แต่ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นแม่ของนางเอง…คุณหูหรือคุณนายอู๋นั่นเอง
แต่แม่ของนางเป็นสตรีผู้ดีที่ดูแลตนเองเป็นอย่างดี มาสก์หน้าด้วยแผ่นมาสก์ลาแมร์ทั้งวัน บำรุงร่างกายด้วยซุปคอลลาเจนตุ๋นรังนก มีหรือจะใส่เสื้อผ้าปุปะทั้งตัว ไม่สนใจการแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างสตรีตรงหน้าผู้นี้
แล้วที่อีกฝ่ายใส่อยู่นั่นคืออะไร คุณหูก็แต่งชุดชาวฮั่นตามแฟชั่นกับเขาด้วยอย่างนั้นหรือ
“แม่คะ…ทำไมแม่ถึงได้…” อู๋เซี่ยวเซี่ยวเพิ่งจะพูดไม่กี่ประโยคด้วยเสียงแหบพร่า จากนั้นก็ต้องอึ้งงันไป
แม้เสียงจะแหบพร่า แต่นางฟังออกว่าเสียงที่ตนเองเปล่งออกมาคือเสียงของเด็กหญิงวัยสิบเอ็ดถึงสิบสองปี
นางมองมือของตนเองที่ยื่นออกมาด้วยความตกตะลึง ผิวขาวก็จริงอยู่ แต่กลับผอมแห้งซูบเซียวลงไปมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นมือของเด็กหญิง
อู๋เซี่ยวเซี่ยวลุกพรวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้แล้วเดินโซเซออกไปนอกห้อง ได้เห็นเงาสะท้อนของตนเองในถังน้ำพอดี…เด็กหญิงใบหน้ามอมแมมผมกระเซอะกระเซิง ดวงตาโตรูปเมล็ดซิ่ง กำลังจ้องมองนางอย่างตกตะลึง…
หากไม่ใช่เพราะรูปร่างของตนเองเล็กลง ใบหน้าเปลี่ยนไป อู๋เซี่ยวเซี่ยวคงนึกว่านางถูกรายการเรียลลิตี้ในโทรทัศน์รายการใหญ่แกล้งเสียแล้ว!
ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์ช่างน่าทึ่ง อู๋เซี่ยวเซี่ยวเป็นผู้จัดการดารา เคยอ่านบทละครทะลุมิติมานับไม่ถ้วน สิ่งที่ได้ประสบพบเจอในช่วงหลายวันมานี้ทำให้นางจำต้องเข้าใจความจริงเรื่องหนึ่งว่า…นางทะลุมิติมาแล้ว ทะลุมิติเข้ามาในบทละครเรื่อง ‘ฟูมฟักจอมราชัน’ ที่นางเพิ่งอ่านจบ
และดูเหมือนว่าตอนที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ก็ตรงกับคำพูดร้ายๆ ของเซินหย่วน เพราะนางทะลุมิติมาอยู่ในบ้านที่จนกรอบพอดี
ในบทละครเรื่องนั้นมีนางเอกซึ่งแต่ละคนงดงามโดดเด่นมีเอกลักษณ์ แต่อู๋เซี่ยวเซี่ยวกลับทะลุมิติมาเป็นโม่เซี่ยวเหนียงตัวประกอบหญิงผู้ชั่วร้ายสุดขีด!
โม่เซี่ยวเหนียงผู้นี้ก็เปรียบได้กับหลี่โม่โฉว ตัวละครจากปลายปากกาของจินยง เป็นก้อนหินขวางทางหมื่นปีในเส้นทางสังหารมอนสเตอร์เพื่ออัพเลเวลของพระเอก
แน่นอนว่าสุดท้ายจะขาดบทที่นางมารถูกพระเอกฉีกเป็นชิ้นๆ ไปไม่ได้ จุดจบของนางนั้นแสนจะรันทดจนสุดบรรยาย
กว่าอู๋เซี่ยวเซี่ยวจะทำความเข้าใจกับตัวตนของตนเองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พอนึกถึงจุดจบอันน่าเวทนาของโม่เซี่ยวเหนียงในวันหน้าก็อยากจะวิ่งออกไปจากประตูไม้โกโรโกโสในทันใด อยากจะหาเกวียนเทียมวัวเช่นในสมัยก่อน ดูว่าถ้าขับเกวียนพุ่งชนให้ตายแล้วจะกลับไปได้หรือไม่
แต่หลังจากลองพุ่งชนผนังหลายครั้ง นางก็เจ็บจนน้ำตาร่วง รู้ตัวว่าขาดความกล้าหาญที่จะทำร้ายตนเอง จึงล้มเลิกความคิดที่จะตายแล้วกลับไปอีกครั้ง
นางยังจำความทรงจำก่อนหน้านี้ได้ เบรกรถไม่ทำงาน รถจึงเสียหลักจนพลิกคว่ำ บางทีอาจเพราะนางตายไปแล้วจึงได้มาอยู่ที่นี่
หลายครั้งในความฝันยามค่ำคืน มีเสียงพูดกับนางอย่างต่อเนื่องว่า ‘มีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี ทุกอย่างจึงจะมีความหวัง’
แม้จะเป็นเพียงคำพูดในความฝัน แต่ก็ฟังดูสมเหตุสมผล
ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางประสบพบเจอในตอนนี้แปลกประหลาดเกินไป ไม่สามารถอธิบายได้ มีแต่จะต้องคอยระวังไปทีละก้าว มีชีวิตอยู่ให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่…โลกที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้านี้ถึงกับทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายชั่วคราวราวกับได้มุดเข้าไปในเปลือกหอยทาก
อย่างน้อยที่สุดนางยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบสองปี ไม่ต้องพบเจอกับวิกฤตวัยกลางคน ไม่ต้องรับมือกับหนี้ก้อนโตที่ทำให้ครอบครัวล้มละลาย รวมทั้งเรื่องจุกจิกไร้สาระอย่างการเลิกรากับสามี
เพียงแต่…โม่เซี่ยวเหนียงมองโจ๊กสีขาวขุ่นชามหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะเล็กบนเตียงเตา เก่าๆ ไม่กล้าเอาของเหนียวข้นราวกับอาหารหมูนี้ใส่ปาก
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ หูซื่อ มารดาของนางในตอนนี้ที่ในบทละครก็ใช้สกุลหูเหมือนกันยังคงเกลี้ยกล่อมอย่างขันแข็งให้นางกิน
“นี่คือผักป่าและเห็ดที่ขึ้นเขาไปเก็บมาวันนี้ สดใหม่ยิ่ง เซี่ยวเหนียง เจ้ากินมากๆ สักหน่อย บำรุงร่างกายให้ดี”
อู๋เซี่ยวเซี่ยวซึ่งก็คือโม่เซี่ยวเหนียงในเวลานี้มองชามของมารดาแล้วมองชามของตน จากนั้นก็พบว่าในชามของหูซื่อมีน้ำเสียเป็นส่วนใหญ่ ทว่าในชามของตนกลับมีข้าวโพดที่ต้มจนเละปะปนอยู่บ้าง
แม้สถานที่และเวลาจะผิดแปลก ตัวตนพลิกผัน แต่ความรักอันแรงกล้าของมารดาไม่ใช่สิ่งที่คิดไปเอง ครั้นเห็นสายตาจริงจังของหูซื่อ สุดท้ายนางก็ค่อยๆ ยกชามขึ้น กลืนข้าวโพดที่ต้มจนเละลงไป