บทที่ 3 ชิงลงมือ
ฮ่องเต้ฮุยตี้ยังครุ่นคิดถึงการคาดเดาของกู้ซิ่งจือ ผ่านไปพักใหญ่ในพระตำหนักจึงมีเสียงของพระองค์ดังขึ้น
“ตามความเห็นของกู้ชิง คนผู้นี้ลงมือกับเสนาบดีเฉินมีจุดประสงค์อะไร”
“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ” กู้ซิ่งจือเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ตอนนี้เบาะแสน้อยเกินไป กระหม่อมไม่กล้าคาดเดาไปเอง เพียงแต่…” เขาชะงักเล็กน้อยแล้วจึงพูดต่อ “เพียงแต่คิดว่าเสนาบดีเฉินมีฐานะพิเศษ นอกจากคนที่มีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากเขาแล้ว บางทีก็ควรป้องกันการสอดแนมของชาวเป่ยเหลียงด้วย”
ชามกระเบื้องสีขาวกระแทกโต๊ะ ส่งเสียงกังวานไม่ดังไม่เบา สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน แสงเทียนในพระตำหนักวูบไหว เงาของฮ่องเต้ฮุยตี้ก็ส่ายไปมาบนพื้นไม้หนานมู่ลายทอง ที่แวววาว ดูล่องลอยเล็กน้อย
“อืม…” ฮ่องเต้ฮุยตี้พยักหน้าแล้วเอ่ยเพียงว่า “ข้ารู้แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมไม่รบกวนการพักผ่อนของฝ่าบาทแล้ว กระหม่อมทูลลา” กู้ซิ่งจือและฉินซู่มองหน้ากัน ก้มศีรษะจะทูลลา
“กู้ชิง เจ้าอยู่ก่อน” ฮ่องเต้ฮุยตี้หยิบผ้าสีขาวมาเช็ดโอสถที่ริมฝีปาก
“พ่ะย่ะค่ะ” กู้ซิ่งจือรับคำ ฉินซู่โน้มตัวและถอยออกไป ในพระตำหนักเหลือเพียงฮ่องเต้และขุนนางสองคน
ฮ่องเต้ฮุยตี้มองไปยังเก้าอี้ด้านข้าง ส่งสัญญาณให้กู้ซิ่งจือนั่งลงแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าสอบจ้วงหยวน ได้ตั้งแต่อายุสิบหก เข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก จนถึงตอนนี้ก็เกือบจะสิบปีแล้วสินะ?”
กู้ซิ่งจือคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฮ่องเต้ฮุยตี้จะเอ่ยถึงเรื่องนี้จึงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ยังคงเอ่ยตอบด้วยความนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท ปีนี้ก็สิบปีเต็มแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม อายุยี่สิบหกแล้ว” ฮ่องเต้ฮุยตี้พยักหน้าคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ “ในราชวงศ์ของข้าอายุยี่สิบหกแล้วยังคงอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีภรรยาหรืออนุภรรยา อย่าว่าแต่เป็นขุนนางขั้นสามเลย แม้แต่คนธรรมดาและพ่อค้าทั่วไปก็หายากมาก” หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งฮ่องเต้ฮุยตี้ก็หันไปมองกู้ซิ่งจือ “เจ้าเคยคิดถึงเรื่องการแต่งงานของตัวเองบ้างหรือไม่”
กู้ซิ่งจือไม่ได้พูดอะไรอยู่เป็นนาน แสงจันทร์อันเย็นยะเยือกส่องผ่านใบหน้า ส่องสว่างทั่วร่างกายเขาจนดูเย็นเฉียบราวกับน้ำค้างแข็ง
ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาหม่นหมองมีแววโศกเศร้าเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับฮ่องเต้ฮุยตี้
“กระหม่อมอยู่แต่ในบ้าน ไม่ชอบที่จะผูกมิตรกับผู้อื่น หลายปีมานี้อยู่คนเดียวจนชินแล้ว นอกจากนี้กฎตระกูลของสกุลกู้ก็เข้มงวด หากจะแต่งงาน เกรงว่าจะทำให้ฝ่ายหญิงต้องลำบากพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในพระตำหนักเงียบงัน แสงเทียนส่งเสียงดังเปรี๊ยะขึ้นสองสามครั้ง
น้ำเสียงที่ส่งผ่านแสงจ้านั้นเนิบนาบ ฮ่องเต้ฮุยตี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ากำลังดูถูกตัวเอง สกุลกู้มีชื่อเสียงดีงามมาตลอด คนที่เป็นแม่ทัพเสนาบดีมีมากมายนับไม่ถ้วน อย่าว่าแต่หญิงสาวจากครอบครัวธรรมดา แม้แต่เชื้อพระวงศ์ หากได้แต่งเข้าสกุลกู้ก็ถือได้ว่าเป็นที่พึ่งพิงที่ดี” หลังจากเอ่ยจบฮ่องเต้ฮุยตี้ก็จงใจหยุดเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “เจ้าว่าใช่หรือไม่”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนั้นไม่ว่ากู้ซิ่งจือจะแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจอย่างไรก็เข้าใจความหมายของฮ่องเต้ฮุยตี้ดี…พระองค์ต้องการรับเขาเป็นราชบุตรเขย
องค์หญิงจยาหนิง พระธิดาองค์โตของฮ่องเต้ฮุยตี้ขณะนี้อายุสิบห้าปี ถึงวัยที่ควรจะพูดคุยเรื่องอภิเษกสมรสแล้ว
ในเมื่อฮ่องเต้เอ่ยปากแล้ว นอกจากเขาจะพูดว่ากระหม่อมร่างกายอ่อนแอ หากฮ่องเต้ต้องการพระราชทานสมรส ขุนนางอย่างเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้กู้ซิ่งจือจึงทำได้เพียงยกชายเสื้อคลุมแล้วคุกเข่าลงเอ่ยว่า “กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท เพียงแต่ฉินเจาเพิ่งเสียชีวิตในค่ำคืนนี้ เขาและกระหม่อมรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และกระหม่อมก็ถือว่าเขาเป็นเหมือนน้องชายมาโดยตลอด การพูดคุยเรื่องการแต่งงานในตอนนี้ทำให้กระหม่อมรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก ขอฝ่าบาทพระราชทานพระอนุญาตให้กระหม่อมได้ไว้ทุกข์ให้กับน้องชายด้วย นอกจากนี้…” เขาชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดอีกว่า “เขายังมีน้องสาวร่วมอุทรเร่ร่อนอยู่ข้างนอกอีกคนหนึ่ง กระหม่อมรับปากกับเขาว่าจะช่วยเขาตามหานางกลับมา เกรงว่าจะทำให้องค์หญิงเข้าพระทัยผิด ทำให้องค์หญิงต้องลำบากพระทัยเปล่าๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ฉินเจายังมีน้องสาวอีกหนึ่งคน?” ดูเหมือนฮ่องเต้ฮุยตี้จะคาดไม่ถึง ในน้ำเสียงมีความประหลาดใจอย่างยากที่จะได้พบเห็น
“ทูลฝ่าบาท เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
พระตำหนักฉินเจิ้งตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ฮ่องเต้ฮุยตี้มองกู้ซิ่งจืออย่างเหม่อลอย ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “เจ้าและองครักษ์ฉินมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องที่ลึกซึ้ง การพูดคุยเรื่องการแต่งงานในยามนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ ในเมื่อรับปากแล้วว่าจะดูแลครอบครัวของเขาแทนเขา ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด ทางด้านจยาหนิง ข้าจะลองเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง”
กู้ซิ่งจือถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากคำนับขอบพระทัยแล้วก็โน้มตัวและถอยหลังออกไป
ขณะเดินออกจากประตูเจิ้งลี่ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว รถม้าเสียงดังกุบกับเคลื่อนผ่านไปตามถนนหน้าวังหลวงที่ทอดยาว แสงจันทร์สว่างสดใส สาดส่องลงบนแผ่นหินที่ถูกขัดจนเงา สว่างราวกับระลอกน้ำที่กระเพื่อมไหวเป็นชั้นๆ
กู้ซิ่งจือหยิบถุงผ้าเปื้อนเลือดใบนั้นออกมาจากอกเสื้อ