‘ซ่า’
อีกฟากฝั่งหนึ่งที่แสงจันทร์ไร้ขอบเขต ความสว่างสดใสบนระลอกน้ำถูกเส้นผมดำขลับของสาวงามทำลายกลายเป็นแสงกระจาย
ห้องอาบน้ำตลบอบอวลไปด้วยไอร้อน ท่ามกลางหมอกที่ขมุกขมัวอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพร ทำให้เกิดละอองหมอกเหมือนในเจียงหนาน
หลังผ่านการต่อสู้และได้แช่ตัวในน้ำเย็นเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม แล้ว ย่อมต้องแช่น้ำอ้ายเฉ่าร้อนๆ
หยดน้ำสะท้อนแสงเทียนกลิ้งตกลงมาจากขนตาที่หนาราวกับปีกผีเสื้อของสาวงาม ฮวาหยางพาดแขนไว้ที่ขอบสระน้ำแล้วถอนหายใจยาว
นางเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย มองไปยังคันฉ่องใสสูงครึ่งตัวคนที่อยู่ด้านตรงข้าม
ผิวขาวราวหยกถูกไอร้อนรมเป็นสีชมพูอ่อน ประหนึ่งดอกท้อตูมในต้นฤดูใบไม้ผลิ ส่องประกายความงามน่ารักอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมดกดำเกล้าสูง เส้นผมหลายเส้นที่ข้างจอนผมแนบกับลำคอระหง ขับให้เส้นโค้งที่ต้นคอเรียบเนียนดูสง่างาม
แน่นอนว่าหากไม่มีเท้าที่สวมรองเท้าหุ้มข้อสั้นอยู่ด้านหลังก็จะดียิ่งกว่า
“เจ้ามาด้วยเหตุใด” ฮวาหยางไม่ได้หันกลับไป ยังคงชื่นชมตัวเองในคันฉ่อง
ฮวาเทียนเคยชินกับท่าทางสบายๆ ของนางแล้วจึงไม่ได้เอ่ยตอบอะไร เดินไปที่ข้างราวแขวนเสื้อ หยิบเสื้อคลุมนอนที่แขวนอยู่บนนั้นแล้วโยนให้ฮวาหยางพลางพูดอย่างเย็นชา
“แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วออกมา”
ฮวาหยางไม่รู้สึกโกรธกับความเผด็จการของอีกฝ่าย นางรับเสื้อคลุมนอนมาคลุมตัวแล้วเดินขึ้นจากน้ำ
ตอนที่เดินออกไปฮวาเทียนก็นั่งลงบนเตียงหลัวฮั่น แล้ว ชาใหม่ซึ่งเพิ่งเติมที่ข้างมือมีกลิ่นหอมตลบอบอวล ฮวาเทียนขยับนิ้วชี้ชี้ออกไปแล้วเอ่ยสั่ง
“นั่ง”
“ไม่” คำที่ตรงไปตรงมา ปฏิเสธได้อย่างเรียบง่ายและชัดเจน
ฮวาเทียนขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองฮวาหยางอย่างไม่เข้าใจ เมื่อเห็นว่าท่าทางของอีกฝ่ายยังคงเย็นชาเช่นนั้น นางจึงพูดอย่างน่าฟัง
“ข้าบอกให้นั่งลงดื่มชา”
“ข้าบอกว่าไม่”
“…” ฮวาเทียนชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เพราะรู้จักนิสัยของศิษย์น้องผู้นี้ดีจึงคร้านที่จะตอแย ยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ฮวาคั่วตายแล้ว”
“อ้อ?” ฮวาหยางขมวดคิ้ว ไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด “เหนือความคาดหมายจริงๆ”
ฮวาเทียนได้ยินดังนั้นก็วางถ้วยชาในมือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สงบลงกว่าเดิม “เจ้าทิ้งเขาไว้กับคนของทางการ?”
“ถ้าไม่ทำเช่นนั้นเล่า” ฮวาหยางถามกลับ “ข้าควรทิ้งเขากับตัวข้าไว้กับคนของทางการอย่างนั้นหรือ”
ฮวาเทียนชะงักอีกครั้ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “การทำเช่นนี้อันตรายเกินไป เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าถ้าเขาไม่ตายจะทำอย่างไร”
“อ้อ” ฮวาหยางรับคำอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าพูดจาอ้อมค้อมถึงเพียงนี้ก็เพราะต้องการจะบอกข้าว่าฮวาคั่วตายแล้วช่างดีจริงๆ?”
“…” ฮวาเทียนรู้สึกว่าวันนี้คงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว นางจึงหยุดพูดเรื่องของฮวาคั่วแล้วพูดสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “ทางสำนักต้องการให้เจ้าถอนตัวจากงานนี้”
“อะไรนะ” เวลานี้ฮวาหยางจึงเริ่มมีอารมณ์ เสียงที่ถามก็สูงขึ้นเล็กน้อย “งานของข้าไม่เคยยุติกลางคัน”
“ไม่ใช่ยุติ” ฮวาเทียนหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบว่า “จะมีคนมาทำแทนเจ้า”
ไม่เหนือความคาดหมายของฮวาเทียน ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นสั่นไหวภายใต้แสงเทียน แสงที่ริบหรี่หายไปเผยให้เห็นความดุร้ายของนักล่าเล็กน้อย
รู้จักกันมาสิบกว่าปี ฮวาเทียนย่อมรู้ถึงความเจ็บปวดของคนที่อยู่ตรงหน้า
ฮวาหยางมีความมุ่งมั่น มีสมาธิ เป็นอิสระ เย็นชา เชี่ยวชาญในการปลอมตัว และมีวิทยายุทธ์สูงส่ง เกิดมาเพื่อเป็นนักฆ่าที่ไร้ที่ติคนหนึ่ง แต่เช่นเดียวกับอัจฉริยะคนอื่นๆ ขณะเดียวกันนางก็หลงตัวเอง เย่อหยิ่ง และไม่ยอมร่วมมือกับผู้อื่น ความอยากเอาชนะที่แรงกล้าผลักดันให้นางไม่ยอมให้ความสามารถของตนเองได้รับความกังขาแต่อย่างใด